This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

Mitsubishi Mirage เริ่มเดินเครื่องผลิตในประเทศไทยแล้ว


มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น (เอ็มเอ็มซี) ได้ประกาศเริ่มผลิตรถยนต์มิตซูบิชิ มิราจ ใหม่ “รถยนต์นั่งขนาดเล็กสำหรับตลาดโลก” อย่างเป็นทางการ ณ โรงงานแหลมฉบัง ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย พร้อมทั้งถือโอกาสนี้จัดงานเปิดสายพานการผลิตรถรุ่นดังกล่าว โดยมี มร.โอซามุ มาสุโกะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และแขกผู้มีเกียรติร่วมพิธีอย่างคับคั่ง

มิตซูบิชิ มิราจ เป็น “รถยนต์นั่งขนาดเล็กสำหรับตลาดโลก” ที่ได้รับการออกแบบเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการรถยนต์ขนาดเล็กของตลาดในประเทศเศรษฐกิจใหม่ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงตอบสนองความต้องการด้านรถเพื่อสิ่งแวดล้อมในตลาดประเทศที่พัฒนาแล้ว มิราจ จะถูกผลิตขึ้นจากโรงงานใหม่แห่งที่ 3 ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในประเทศไทย ในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ซึ่งถือเป็นฐานการผลิตและส่งออกใหญ่ที่สุดของบริษัทฯ ที่อยู่นอกประเทศญี่ปุ่น มิราจ เปิดขายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา ก่อนจะส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศต่างๆ ทั้งในภูมิภาคอาเซียน ญี่ปุ่น รวมไปถึงภูมิภาคยุโรป และขยายไปยังประเทศอื่นๆ ต่อไป ทั้งนี้บริษัทฯ ได้มีแผนที่จะเปิดตัวรถยนต์ มิราจ ในประเทศญี่ปุ่นในฤดูร้อนปีนี้ (ประมาณเดือนกรกฎาคม)

“ปัจจุบัน มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้กลายเป็นหนึ่งในฐานการผลิตหลักของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น อย่างไม่มีข้อสงสัย ทั้งนี้จากการที่โรงงาน ณ นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังแห่งนี้ได้เริ่มการผลิตรถยนต์มิตซูบิชิ มิราจ จึงเป็นเรื่องสำคัญในการที่จะรักษาระดับของคุณภาพให้ทัดเทียมกับรถยนต์ที่ผลิตจากโรงงานในประเทศญี่ปุ่น เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจในเรื่องดังกล่าว มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น จึงได้ส่งผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบจากประเทศญี่ปุ่นมาตรวจสอบรถยนต์ให้ได้คุณภาพ 100 % ก่อนที่จะทำการขนส่ง รวมไปถึงฝึกอบรมพนักงานตรวจสอบคุณภาพชาวไทยเพื่อให้เกิดระบบควบคุมคุณภาพระดับสูงสุด ผมเชื่อว่า มิตซูบิชิ มิราจ ใหม่ เป็นรถที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงและจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากตลาดทั่วโลก เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า มิราจ ใหม่ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เชิงกลยุทธ์ระดับโลกคันนี้ จะมีส่วนสำคัญในการสร้างอนาคตที่สดใสให้กับบริษัท” มร.โอซามุ กล่าว

มิราจ กำลังเป็นที่นิยมในประเทศไทย โดยปัจจุบัน มีตัวเลขยอดจองแล้วกว่า 15,000 คัน

     มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ได้ประกาศแผนธุรกิจในระยะเวลา 3 ปี หรือ “JUMP 2013” ในเดือนมกราคม 2554 ที่ผ่านมา โดยหนึ่งในประเด็นหลักของแผนงานดังกล่าวคือการที่จะเพิ่มทรัพยากรในการดำเนินงานในตลาดเศรษฐกิจใหม่ ทั้งนี้ในบรรดาตลาดเศรษฐกิจใหม่นั้น มิตซูบิชิ ได้ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียน ดังนั้นการผลิตและการส่งออกมิราจจากประเทศไทยไปจำหน่ายทั่วโลกในครั้งนี้จึงเป็นหนึ่งในกลวิธีสำหรับส่งเสริมกลยุทธ์ดังกล่าว ทั้งนี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น จะยังคงที่จะสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัทฯ ในตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพสูงอย่างเต็มที่ต่อไป
  
สำหรับท่านที่ต้องการดู ตารางเงินดาวน์ และ การผ่อนชำระ สำหรับ Mitsubishi Mirage คลิกเลยครับ

ตารางเงินดาวน์ และ ผ่อนชำระ สำหรับMitsubishi Mirage

ตารางเงินดาวน์ และ การผ่อนชำระ สำหรับ Mitsubishi Mirage สำหรับท่านที่สนใจสามารถสอบถามที่ศูนย์   Mitsubishi ได้อีกทางนึงน่ะครับ
ตารางเงินดาว์น  Mitsubishi Mirage

ออฟเซ็ต (offset) คืออะไร การเลือกล้อรถให้เหมาะสมกับรถของเรา แล้วรถเรา จะเลือกล้อที่มีออฟเซ็ตเท่าไหร่?


ออฟเซ็ต (Offset) หรือ ET

   Offset คือค่าระยะห่าง ระหว่าง เส้นแบ่งครึ่งล้อ ตามแนวขวาง กับ หน้าแปลนของล้อ (Hub Mounting Surface) โดยมีหน่วยเป็น มิลลิเมตร 



    ค่า Offset ส่งผลอะไรกับรถของเรา ? 

    ค่า Offset จะส่งผลโดยตรงกับระยะหรือตำแหน่งของล้อ ว่าจะยื่นออก หรือ หุบเข้า ไปในตัวรถของท่าน ดังนั้น การเลือกล้อที่มีค่า Offset ที่ถูกต้องเหมาะสมจึงมีความจำเป็น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยทีเดียว

             


  ออฟเซ็ตศูนย์ ( Offset Zero )



       คือกระยะห่างของ หน้าแปลนล้อ ( Hub Mounting Surface ) ตรงกับ เส้นแบ่งครึ่งของ ล้อตามแนวขวางของล้อพอดี






ออฟเซ็ตบวก ( Positive Offset )

         คือตำแหน่งยึดดุมล้อ เยื้องออกมาด้านหน้า (ด้านนอกรถ หรือด้านหน้าของแม็กซ์) เริ่มจากจุดศูนย์กลางของล้อ ถ้าหน้าแปลนยึดดุมเริ่มเดินหน้าออกมา ถือว่าเป็น ออฟเซตบวกทันที เช่นเดินหน้าออกจากจุดศูนย์กลางมา 1 มิลลิเมตร เรียก +1 ถ้าเดินหน้าออกมา 10 มิลลิเมตร เรียก + 10 หรือเดินหน้าออกมา 38 มิลิเมตรเรียก + 38 เป็นต้น สังเกตง่ายออฟเซตยิ่งติดบวกมาก ลายด้านหน้าของล้อแม็กซ์ ก็จะออกมามาก หรือแทบออกมาเสมอกับขอบล้อด้านนอกเลย
 









ออฟเซ็ตลบ ( Negative Offset )

         ตรงข้ามกับออฟเซตบวก พวกนี้ตำแหน่งยึดดุมล้อจะถอยเข้าไปด้านในของล้อ นับจากจุดศูนย์กลางล้อ ยิ่งถอยเข้าไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งติดลบมากเพียงนั้น ล้อแม็คพวกนี้สังเกตได้คือ ลายด้านหน้าของแม็กซ์จะอยู่ลึกเข้าไปด้านในจากขอบล้อด้านนอก ยิ่งลึกมากยิ่งติดลบมากหรือที่เรียกๆกัน แม็กซ์ออฟลึก (โคตร) นั่นเอง





สังเกตอย่างไรว่า ล้อนั้นมีออฟเซ็ตที่พอดีกับรถ

          อาจจะสังเกตง่ายๆด้วยสายตา การมองใกล้ๆที่ซุ้มล้อ ล้อที่ใส่ยาง และเติมลมได้ในระดับพอดี จะต้องไม่มีส่วนใดของยาง หรือแม้แต่แก้มยาง (แลบ) เกินออกมานอกซุ้มล้อ หรือหุบหายจากซุ้มล้อมากเกินไป หรือใช้ไม้ยาวๆ หรือไม้บรรทัดทาบกับซุ้มล้อดูในแนวตั้งฉาก ถ้าออฟเซตบวกมากไป ล้อ และยางจะหุบเข้าไปในซุ้มล้อ แต่ถ้าออฟเซตบวกน้อยไปล้อ และยางก็จะยื่นออกมานอกซุ้มล้อ
วิธีดูเลข ออฟเซตของล้อ
         ล้อแม็กซ์บางรุ่น หรือเกือบทุกยี่ห้อจะกำหนดตัวเลขออฟเซ็ตมาให้เห็นอย่างชัดเจน เช่นปั้มเป็นตัวนูนบ้าง เป็นลักษณะตอกพิมพ์ให้เกิดตัวเลข หรือเป็นสติกเกอร์แปะไว้ ซึ่งกำหนดตัวเลข เช่น Offset 42 ก็จะเป็น ET42 บ้าง +42 บ้าง หรือ 42 เฉยๆ แล้วแต่ลักษณะของบริษัทผู้ผลิตล้อ   
แต่หากดูที่ล้อแล้ว ไม่ปรากฏ ตัวอักษรหรือตัวเลขดังกล่าว  เราก็มีวิธีหาค่า Offset ได้เหมือนกัน แต่ต้องใช้เครื่องวัดและการคำนวณประกอบกัน

วิธีดูเลข ออฟเซตของล้อ

         ล้อแม็กซ์บางรุ่น หรือเกือบทุกยี่ห้อจะกำหนดตัวเลขออฟเซ็ตมาให้เห็นอย่างชัดเจน เช่นปั้มเป็นตัวนูนบ้าง เป็นลักษณะตอกพิมพ์ให้เกิดตัวเลข หรือเป็นสติกเกอร์แปะไว้ ซึ่งกำหนดตัวเลข เช่น Offset 42 ก็จะเป็น ET42 บ้าง +42 บ้าง หรือ 42 เฉยๆ แล้วแต่ลักษณะของบริษัทผู้ผลิตล้อ

วิธีวัดออฟเซตของล้อ         
        มีส่วนมากที่ไม่มีการตีตัวเลข Offset ไว้ที่ล้อ (ปกติข้างกล่อง จะมีตัวเลข Offset , P.c.d. หรือสี มาให้ทุกกล่อง แต่ถ้ากล่องหาย หรือเป็นแม็กซ์มือสอง เรามีวิธีวัดหาค่า Offset ได้อย่างคร่าว ดังนี้  ล้อที่ยังไม่ใส่ยางถือว่าเป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าล้อที่จะวัดถ้าเป็นล้อที่ใส่ยางแล้ว การถอดมาวัดด้านนอกถือว่าจะได้ความถูกต้องแม่นยำกว่า และต้องรู้ขนาดความกว้างของล้อ ที่ระบุไว้ชัดเจน หรือใช้วิธีการวัด ด้วยอุปกรณ์การวัดง่ายๆ ด้วยการหาไม้ หรือวัสดุแข็งๆมาทาบกับล้อ ตลับเมตรหรือไม้บรรทัด และเครื่องคิดเลขอีกสักตัว  มีส่วนมากที่ไม่มีการตีตัวเลข Offset ไว้ที่ล้อ (ปกติข้างกล่อง จะมีตัวเลข Offset , P.c.d. หรือสี มาให้ทุกกล่อง แต่ถ้ากล่องหาย หรือเป็นแม็กซ์มือสอง เรามีวิธีวัดหาค่า Offset ได้อย่างคร่าว ดังนี้  ล้อที่ยังไม่ใส่ยางถือว่าเป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าล้อที่จะวัดถ้าเป็นล้อที่ใส่ยางแล้ว การถอดมาวัดด้านนอกถือว่าจะได้ความถูกต้องแม่นยำกว่า และต้องรู้ขนาดความกว้างของล้อ ที่ระบุไว้ชัดเจน หรือใช้วิธีการวัด ด้วยอุปกรณ์การวัดง่ายๆ ด้วยการหาไม้ หรือวัสดุแข็งๆมาทาบกับล้อ ตลับเมตรหรือไม้บรรทัด และเครื่องคิดเลขอีกสักตัว


ตัวอย่าง
    ล้อที่เราจะนำมาสาธิตเป็นล้อขนาด 17 นิ้ว ความกว้างที่ระบุไว้ เป็นตัวเลขคือ 7.5 นิ้ว อยากรู้ว่า Offset มีค่าเท่ากับเท่าไร
วิธีวัด
1.ใช้ไม้ หรือวัสดุแข็งๆ ตัดทาบที่หน้าขอบด้านนอกของล้อ ทั้งด้านหน้าและหลัง อย่าให้สัมผัสกับหน้ายาง
2.วัดขนาดความกว้างรวมของล้อ ตั้งแต่ขอบกระทะด้านนอก จนถึงด้านใน มีหน่วยเป็นเซนติเมตร
3.วัดระยะห่างจากหน้าแปลนยึดดุมล้อ ด้านใน จนถึงกระทะขอบล้อด้านนอก
4.นำตัวเลขรวมความกว้างทั้งหมด ลบกับ ตัวเลขระหว่างหน้าแปลนยึดดุม มาลบ กับระยะขอบล้อของด้านที่จะวัด (เพราะปกติความกว้างของล้อจะไม่นับรวมกับ ความกว้างของขอบกระทะที่ยึดกับยาง ทั้ง 2 ด้าน)
สูตรคำนวณ
- กระทะขนาด 7.5 นิ้วหรือตามทฤษฏี = 18.8 เซนติเมตร ดังนั้น Offset Zero ของล้อจะ = 9.4 เซนติเมตร
- ขนาดที่วัดได้จริงจากขอบล้อด้านนอกถึงด้านใน = 20 เซนติเมตร
- เพื่อหาขนาดขอบล้อทั้ง 2 ด้านจะนำระยะวัดจริงลบกับระยะทางทฤษฏี แล้วหารสอง (20 – 18.8) / 2 = 0.6 เซนติเมตร เป็นค่าระยะขอบกระทะแต่ละด้าน
- วัดระยะจากหน้าแปลนยึดดุมล้อ ถึงขอบกระทะได้ = 14 เซนติเมตร
- คำนวณหาระยะ Offset = (ระยะวัดจากหน้าแปลนถึงขอบกระทะ) - (ระยะ Offset Zero) ( ระยะขอบกระทะ ) = 14 – 9.4 – 0.6 = 4 เซนติเมตร
***ดังนั้น ค่า Offset ของล้อวงนี้จะออกจากจุด Offset Zero ไปด้านนอก หรือ ติดบวก 4 เซนติเมตร หรือ 40 มิลิเมตร จึงเรียกได้ว่า Offset + 40 นั่นเอง

จะทำอย่างไรถ้า Offset ไม่พอดีกับรถของเรา

กรณีล้อหุบมากเกินไป (ออฟเซ็ตติดบวกมากไป) วิธีแก้ไข

1.เสริมสเปเซอร์


http://www.cefiro-thailand.com/attachment.php?attachmentid=198847&d=1302109176
    ถ้าหากระยะไม่มากซัก 1 - 2 เซนติเมตร มักจะใช้เป็นสเปเซอร์แบบอลูมิเนียมเจาะรู เสริมวางเข้าไปก่อน แล้วนำล้อมาใส่ ไขน๊อตติดให้แน่น สังเกตถ้าน็อตล้อสั้นเกินไป ต้องเปลี่ยนน็อตล้อให้ยาวขึ้นเพื่อป้องกันน็อตล้อหลุด ข้อดีคือง่าย และ ประหยัด ข้อเสียคือ เซนเตอร์ล้ออาจผิดพลาด สเปเซอร์แบบอลูมิเนียมมักเกิดอาการยุบ ล้ออาจจะเกิดอาการแกว่ง พวงมาลัยสั่น ศูนย์ล้อไม่ได้ หรือกลึงเป็นสเปเซอร์เหล็กถือว่าดีกว่า




2 . ต่ออแดปเตอร์ 

    ถ้าระยะห่างเกิน 2 เซนติเมตรขึ้นไป วิธีที่ดีคงต้องใช้ อแดปเตอร์มาไขติดกับดุมล้อของรถชั้นหนึ่งก่อน ต้องสังเกตุให้ดีว่าน็อตล้อนั้น ยื่นออกมาเกินอแดปเตอร์หรือไม่ ถ้าเกินต้องตัดน็อตให้สั้นลงเพื่อไม่ให้ไปติด หรือชนกับล้อแม็ค เหยียบเบรกไขน็อตยึดอแดปเตอร์ให้แน่นเท่ากันทุกตัวทั้ง 4 ล้อ แล้วจึงไขล้อติดกับอแดปเตอร์อีกครั้ง เลือกใช้ได้ทั้งอแดปเตอร์เหล็ก หรืออลูมิเนียมเกรดสูง หรือใช้อแดปเตอร์ที่สามารถเปลี่ยน PCD หรือระยะรูน๊อตล้อได้ในตัว การใช้อแดปเตอร์ถ้าเป็นแบบเหล็กกลึงขึ้นรูป คุณภาพต้องฝากไว้กับทางผู้ผลิต แต่ถ้าเป็นลักษณะสั่งกลึงให้มีบ่ารับดุมล้อ และล้อแม็กซ์จะช่วยให้ได้เซนเตอร์มากขึ้น แต่ถ้าอแดปเตอร์มีความหนามาก จะทำให้มีน้ำหนักมาก เป็นภาระของช่วงล่าง และเครื่องยนต์ อะแดปเตอร์แบบอลูมิเนียมเกรดสูง ถือว่าน่าเลือกใช้กว่า แต่ราคาสูง หรือถ้าราคาถูกหน่อยคงต้องเป็นมือสองจากนอก การใส่อแดปเตอร์ถ้าเป็นไปได้ เมื่อใช้งานได้สักระยะควรถอดล้อออกมา แล้วไล่อัดไขน็อตอีกครั้งหนึ่ง

ออฟเซ็ตติดลบมากไป (ล้อถ่างออกนอกซุ้มล้อ) วิธีแก้ไข

1. เจียร หรือพับขอบซุ้มล้อ


http://eastwood.squarespace.com/storage/101_1955.jpg
    เป็นวิธีแก้ไขในกรณีที่ล้อไม่ถ่างออกมามากเกินไปหรือเวลาวิ่งตรงไม่ติด แต่พอขึ้นเนิน เลี้ยว หรือบรรทุกหนักแล้วจะมีอาการติดซุ้มล้อ การพับซุ้มถือเป็นวิธีที่นิยมกันมาก แต่ต้องเป็นร้านที่มีฝีมือ เพราะถ้าสีเกิดเสียหายค่าทำสีจะแพงกว่าหลายเท่า แต่วิธีเจียรซุ้มเป็นวิธีที่ง่ายประหยัดกว่า แต่ข้อเสียคือ ซุ้มล้อจะไม่แข็งแรง ยืนพิงเบาๆก็อาจจะยุบได้ หรือถ้าไม่ป้องกันสนิม ซุ้มล้อจะผุอย่างรวดเร็ว

2. ขยายซุ้มล้อ หรือ Wide Body


http://wheel.thaispeedcar.com/image/tip3-offset/offset12.jpg
    การทำให้ซุ้มล้อกว้างขึ้น ถือเป็นวิธีที่ผู้ผลิตยังใช้กัน เป็นงานที่ต้องลงทุนทุบตัวถัง หรือตัดซุ้มล้อใหม่ให้กว้างขึ้น แล้วทำสี เป็นงานที่ลงทุนมาก แต่ก็ให้ความสวยงามมากขึ้น

3. โป่งล้อ หรือ Over Fender 



    เป็นลักษณะโป่งพลาสติก หรือไฟเบอร์เย็บติดกับซุ้มล้อ เป็นวิธีที่นิยมกันมากในหมู่รถพวก 4X4 จนถึงรถระดับแข่งขัน Circuit

4. ซื้อล้อใหม่ 

ทำไมรถแข่งทางตรงถึงใช้ ล้อออฟลึกมากๆ     พวกรถแข่งทางตรงพวกนี้มีแรงม้าสูง ยางที่ใช้ขนาด 335 – 355 นู่น ล้อก็ขนาด 10 นิ้ว – 12 นิ้ว หรือที่เรียกว่า Drag Slick ยางพวกนี้นับความกว้างที่หน้ายางกันเป็นนิ้ว เช่น 10.5 , 12.5 นิ้ว แถมเพลาท้ายของพวกรถ Drag จะสั้นกว่ามาก เน้นการส่งกำลังอย่างรวดเร็ว ลดปัญหาเพลาขาด จึงต้องใช้ล้อออฟลึก (โคตรๆ) มาใส่เพื่อให้ล้อยื่นออกมาพอดีกับตัวถังรถ

เวลาโหลดรถแล้วล้อจะไม่ติดซุ้ม ออฟเซตเปลี่ยนหรือไม่
     การโหลดรถไม่ได้เป็นการทำให้ ออฟเซตล้อเปลี่ยน แต่เป็นการทำให้มุม Camber เปลี่ยนไป ล้อจะมีการเอียงเข้าหาซุ้มล้อ บางครั้งล้อที่ออฟเซตลึก ทำให้ล้อยื่นออกมาด้านนอกซุ้มเล็กน้อย แต่พอโหลดรถ ล้อกลับเอียงหลบซุ้มได้พอดี ผลมาจากมุม Camber ที่เกิดจากองศาของปีกนกล่างนั่นเอง การเลือกล้อที่ถ่างเพื่อโหลด แล้วหลบซุ้ม ต้องคำนึงถึงช่วงล่างว่าเป็นระบบไหน ถ้าเป็น Double Wishbone มุม Camber จะเปลี่ยนค่อนข้างน้อยมาก แต่ถ้าเป็นแบบ Macpherson Sturts มุม Camber จะเปลี่ยนแปลงได้มากกว่า แต่อย่าลืมการที่ล้อเอียง จะเป็นการทำให้ยางสึกหรอไม่เท่ากัน การเกาะถนนไม่ดี ยังไงการเลือก Offset ให้พอดี พอโหลดรถแล้ว ก็ปรับมุม Camber ให้กลับมาตามเดิมถือว่าย่อมดีกว่า

    พวกรถแข่งทางตรงพวกนี้มีแรงม้าสูง ยางที่ใช้ขนาด 335 – 355 นู่น ล้อก็ขนาด 10 นิ้ว – 12 นิ้ว หรือที่เรียกว่า Drag Slick ยางพวกนี้นับความกว้างที่หน้ายางกันเป็นนิ้ว เช่น 10.5 , 12.5 นิ้ว แถมเพลาท้ายของพวกรถ Drag จะสั้นกว่ามาก เน้นการส่งกำลังอย่างรวดเร็ว ลดปัญหาเพลาขาด จึงต้องใช้ล้อออฟลึก (โคตรๆ) มาใส่เพื่อให้ล้อยื่นออกมาพอดีกับตัวถังรถ

ออฟลึก ออฟตื้น มีผลกับช่วงล่างอย่างไร
    พวกแม็กซ์ออฟลึกๆ หรือล้อถ่างออกมาด้านนอก จะมีแรงกระทำต่อลูกปืนล้อ ลูกหมาก มากกว่า (คล้ายคานกระดกที่ย้ายน้ำหนักไปอยู่ด้านปลายมากขึ้น) เป็นการบั่นทอนอายุการใช้งานของพวกช่วงล่าง แต่ให้ผลทางด้านการเกาะถนนเพิ่มขึ้น ต่างจากพวกออฟตื้นพวกนี้มีผลต่อช่วงล่างน้อยกว่า อายุการใช้งานของช่วงล่างจะยาวนานกว่า 


เลือกออฟเซต ล้อหน้า หลังต่างกัน แล้วจะเป็นอย่างไร
    พวกล้อหน้าหุบๆ ล้อหลังถ่าง ถ้าเป็นในขณะที่รถวิ่งตรงๆ ก็ยังไม่เป็นไร แต่จะมีผลตอนเข้าโค้ง มีผลทำให้มุมการเข้าโค้งไม่เท่ากัน รถอาจจะเกิดการ Under Steer หรือ Over Steer หรือเข้าโค้งได้ง่าย ออกโค้งได้ยาก ล้วนมีผลทั้งหมด ยิ่งต่างกันมาก จะมีผลมาก
จะเลือก Offset ยังไงให้พอดีกับรถ
    ก่อนที่เราจะซื้อล้อแม็กซ์งามๆมาใส่รถซักชุด ต้องแน่ใจก่อนว่า รถที่เราใช้อยู่กำหนดค่าออฟเซ็ตจากโรงงานมาเท่าไร แม้ว่าล้อเดิมจะกว้างเพียง 6 นิ้ว แต่ถ้าซื้อล้อใหม่ขนาด 7 หรือ 8 นิ้ว Offset ของล้อใหม่ ก็ควรอยู่ในตำแหน่งที่โรงงานกำหนด แต่ถ้าเราซื้อล้อที่มีขนาดเกิน 8- 9 นิ้ว ใน Offset เท่าเดิม ล้ออาจจะกว้างเกินออกมานอกซุ้ม เนื่องจากความกว้างของล้อที่เพิ่มขึ้น การขยับ Offset ก็จะเกิดขึ้น เช่นให้ Offset มีค่า บวกน้อยลง แต่ต้องไม่มากจนยางถอยเข้าไปติดกับช่วงล่าง หรือสายอ่อนเบรก รวมถึงการเปลี่ยนช่วงล่างเช่น คานหน้า ปีกนก หรือ แม้แต่คานหลังให้กับรถ พวกนี้จะทำให้การเลือก Offset เปลี่ยนแปลงไปตลอด จึงต้องมีการคำนวณหาระยะของ Offset และต้องทราบขนาดของ Offset ของล้อที่พอดีกับรถ และช่วงล่างที่เปลี่ยนมาใหม่ด้วยน่ะครับ

ตารางค่า Offset ของรถรุ่นต่างๆ

ตารางนี้เป็นตารางที่ใช้อ้างอิง ค่า Offset ของรถรุ่นต่างๆ

รถ / Car Brand
รุ่นรถ / Model
Std. Offset
Offset ทดแทนได้
Audi
A80 , 100
A6
A8 (4E)
A8 (D2)
+45
+45
+48
+42
+35 ถึง +40
+33 ถึง +47
+30 ถึง +35
BMW
E30
E34 , E39
E36
E46
+35
+20
+47
+42
+20 ถึง +30
+10 ถึง +20
+35 ถึง +40
+31 ถึง +43
Cheverolet
Zafira , Optra , Aveo
+45
+38 ถึง +42
Colorado
+41
+30 ถึง +35
Daihatsu Charage , Coure, Move +45 +38 ถึง +42
Ford
Focus
+45
+38 ถึง+42
Honda
Jazz
City , Civic  (4 Holes)
Civic 2007-2008 (5 Holes)
CRV, Odessey , Steam
Accord 95-2002
Accord  2003- 2008
+53
+45
+50
+50
+50
+50
+40 ถึง +45
+35 ถึง +42
+38 ถึง +42
+38 ถึง +45
+38 ถึง +45
+38 ถึง +45
Hyundai
Sonata , Excel
+45
+38 ถึง +42
 Isuzu
D-Max SX , SL , SLX
Trooper , D-Max Hilander
Dragon Eye
TFR 
 +41
+30
+5
+0
+30 ถึง +35
+15 ถึง +25
-5 ถึง +10
-5 ถึง +10
Mecedes Benz
W123
W124 , W201
W140
W202
W210
W220
 +30
+49
+51
+31
+37
+49
+15 ถึง +25
+30 ถึง +45
+35 ถึง +45
+25 ถึง +42
+31 ถึง +35
+47 ถึง +49
Mitsubishi
E-Car , New Lancer
Champ
+46
+45
+38 ถึง + 42
+35 ถึง + 38
Triton 5 รู
Starda
+45
+10
+30 ถึง +45
+0 ถึง +5
Mazda
Mazda 2
Mazda 3
Cronos 626 , Astina 323
323 Prote'ge
+50
+45
+45
+45
+38 ถึง + 42
Nissan
NV
March
Sunny B14
Cefiro A31
Cefiro A32 , A33 , Teana
+45
+45
+40
+35
+40
+38 ถึง +42
+35 ถึง +40
+35 ถึง +40
+25 ถึง +32
+38 ถึง +45
Frontier
NAVARA
+20
+30
0 ถึง +20
+5 ถึง +30
Peuqeot
205 , 305 , 306 ,  309 , 405 , 406
+22
+15 ถึง +20
Proton
Savvy , Gen II
+46
+38 ถึง +42
Subaru
Lagacy
Imprezza
Forester
+48
+55
+40
+38 ถึง + 45
+48 ถึง +50
+35 ถึง + 38
Suzuki
Swift
Jimmy
Sporty ,Samurai
+45
+22
+10
+38 ถึง +42
+15 ถึง +20
+0. ถึง +10
Toyota
Soluna AL50
Vios , Yaris
Corolla , AE92 AE100 AE101
AE110 AE111
Corona ท้ายโด่ง , Excier
Camry
Wish
Avanza , Altis
+33
+39
+45
+45
+45
+50
+55
+45
+30 ถึง + 38
+38 ถึง +40
+38 ถึง +42
+38 ถึง +42
+38 ถึง +42
+40 ถึง +45
+40 ถึง +45
+38 ถึง +42
Tiger 4x2
Tiger 4x4
Vigo 4x2
Vigo 4x4 , Fortuner
+23
+8
+45
+30
 +15 ถึง +20
+0  ถึง +10
 +30 ถึง +40
+15 ถึง +25
Volvo
740 , 760 , 940 , 960
+25
+20 ถึง +30
850 , S60 , S70 , S90 , V70 , XC  +43
+38 ถึง +45
 VW  Golf III  +38
 +30 ถึง +35

วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2555

Subaru BRZ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับ Subaru


Subaru BRZ

ข่าวคราวของSubaru BRZ ที่ได้มีการทดสอบที่ประเทศญี่ปุ่นแล้ว ซึ่ง Subaru BRZ ตัวนี้เป็นรุ่นน้องที่คลานตามกันมาของ โตโยต้า GT 86 โดยรูปร่างนั้นก็ไม่ได้เหมือนกันซะทีเดียว เพราะเขายังบอกว่า Subaru BRZและ GT 86 ยังมีความแตกต่างทั้งในส่วนของ ล้อและกระจังหน้าซะด้วย ส่วนราคาที่จะเปิดขายที่ยุโรปในเดือนมิถุนายนก็ประมาณ 1,500,000-1,680,000 บาทจุดเด่นของเจ้า  Subaru BRZ  

Subaru BRZ
                Subaru BRZ ตัวนี้มีระบบที่คล้ายกับ GT 86 มา ซึ่งส่วนที่แตกต่างกันก็จะเห็นได้จาก Subaru BRZ จะถูกเซตช่วงล่างให้ค่อนข้างออกไปทางแข็งซักเล็นน้อย เพราะอาจจะเอาใจวัยรุ่นที่เน้นสไตล์มัน ดุ เป็นพิเศษ และผู้ผลิตทั้งสองค่ายก็ดูจะมีความสุขที่ได้ผลิตและออกแบบร่วมกัน และรุ่นทั้งสองรุ่นก็จะถูกผลิตที่โรงงานของ Subaru
Subaru BRZ
                การสร้าง Subaru BRZ เป็นการสร้างรถสปอร์ที่มีน้ำหนักเบา และเครื่องยนต์ใหม่ทั้งหมด ถึงแม้นจะมีบางอย่างที่ยังเชื่อมโยงอยู่กับ Subaru BRZและ GT 86 และในอนาคต Subaru Impreza ก็คงจะใช้เทคโนโลยีนี้อย่างแน่นอน โดยสิ่งที่โด่ดเด่นของเจ้า Subaru BRZ ก็คงจะอยู่ที่เครื่องยนต์ “FA20” 2.0ลิตร ตัวถังและแคชซีที่ตำและเบากว่าถึง 240mm
ระบบกันสะเทือนที่ชาญฉลาดได้รับมาจาก Impreza ด้วยระบบ McPherson strutsและจุดมุ่งหมายหนึ่งของทีมวิศวกร ก็คือการลดจุดศูนย์ถ่วงและแรงโน้มถ่วง ซึ่งโตโยต้าชี้ให้เป็นว่าค่าศุนย์ถ่วงที่ดีต้องเป็น C- of Gจาก Boxster Porsche ส่วนโครงสร้างของหลังคาจะใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบา
Subaru BRZ

อัตราการเก็บ ภาษีรถยนต์


อัตราการเก็บภาษี รถยนต์



ท่านเคยสงสัยกันบ้างไหมว่า รถยนต์ที่เราซื้อไปแต่ละคันนั้น เราได้จ่ายภาษีต่างๆ ที่รวมอยู่ในราคารถยนต์นั้นเป็นจำนวนเท่าไร และมีค่าค่าอะไรบ้าง คราวนี้เรามีข้อมูลการเก็บภาษีของภาครัฐที่จัดเก็บจากสินค้าประเภทรถยนต์(เฉพาะรถยนต์นั่งส่วนบุคคล)มานำเสนอ ซึ่งเมื่อดูแล้วจะทราบถึงสาเหตุที่เราต้องซื้อรถยนต์ที่ราคาสูงกว่าประเทศอื่นเขาโครงสร้างการคิดภาษีรถยนต์ในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 กรณี ดังนี้

กรณีที่ 1 รถนำเข้าสำเร็จรูปจากต่างระทศการคิดภาษีสำหรับรถนำเข้านั้น จะคิดจากราคา CIF (Cost + Insurance + Freight) ซึ่งก็คือ ราคาขายของรถ บวกด้วยค่าอากร ค่าประกันภัย และค่าขนส่งจากต่างประเทศ มาถึงที่ท่าเรื่อที่ประเทศไทย ราคา CIF นี้จะถูกระบุไว้ในเอกสารการนำเข้า ในที่นี้สมมติให้ราคา CIF เท่ากับ 100 บาท ภาษีที่ต้องจ่ายจะประกอบไปด้วย

1. อากรขาเข้า ภาษีแรกที่ผู้นำเข้าต้องจ่าย ณ ท่าเรือก่อนนำรถออกจากท่าเรือเข้ามาในประเทศในอัตรา 80% ของราคา CIF ซึ่งเท่ากับ 80 บาท

2. ภาษีสรรพสามิต  ซึ่งกรมศุลกากรจะทำการเก็บภาษีนี้ พร้อมกับอากรขาเข้า ภาษีสรรพสามิตนี้จะถูกเก็บในอัตราที่ต่างกันตั้งแต่ 30-50% ขึ้นอยู่กับความจุกระบอกสูบ หรือขนาดเครื่องยนต์ (ดูตารางการคำนวณภาษีประกอบ) เช่น รถยนต์ขนาดไม่เกิน 2000 ซีซี ที่ถูกจัดเก็บในอัตรา 30%ของราคา CIF รวมกับภาษีอากรขาเข้า โดยใช้สูตรการคำนวณการจัดเก็บที่เรียกว่า “ฝังใน” คือ


ภาษีรถยนต์

3. ภาษีมหาดไทย ชื่อภาษีมีที่มาจากภาษีที่เก็บได้นี้ถูกนำไปบริหารประเทศโดยกระทรวงมหาดไทย ซึ่งภาษีมหาดไทยจะคิดที่อัตรา 10% ของภาษีสรรพสามิต เพื่อส่งให้กระทรวงมหาดไทย


4. ภาษีมูลค่าเพิ่ม ในอัตรา 7% ของราคา CIF + อากรขาเข้า + ภาษีสรรพสามิต + ภาษีมหาดไทย ซึ่งเมื่อรวมภาษีทั้ง 4 ชนิดเข้าด้วยกันแล้ว จากราคารถสมมุติที่ 100 บาทก็จะกลายเป็น 287.5-428.0 บาท (ขึ้นอยู่กับความจุกระบอกสูบ) ซึ่งมูลค่าดังกล่าวนี้ยังไม่รวมอัตรากำไร และค่าดำเนินการอื่นๆ ของบริษัทผู้จำหน่าย ฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เราจะเห็นรถราคา 1 ล้านในเมืองนอกมาขายที่บ้านเราในราคา 3-4 ล้านบาท เพราะภาระภาษีมันสูงเช่นนี้นี่เอง

กรณีที่ 2 รถที่ผลิตในประเทศไทย ผู้ผลิตจะนำชิ้นส่วนรถยนต์เข้ามาจากต่างประเทศเป็นบางรายการ ซึ่งปริมาณและสัดส่วนการนำเข้า มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัทผู้ผลิต โดยรถแต่ละรุ่นภาระภาษีของผู้ผลิตจะมีความแตกต่างจากการนำเข้ารถทั้งคัน ดังนี้ 

1. อากรขาเข้า จะถูกจัดเก็บตามอัตราที่กรมศุลกากรกำหนด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิด หรือพิกัดของชิ้นส่วนนั้น ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 30% ของราคา CIF ถ้าใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศทั้งหมดก็จะไม่เสียภาษีในส่วนนี้

2. ภาษีสรรพสามิต จะถูกจัดเก็บอัตราเดียวกับการนำเข้ารถทั้งคันจากต่างประเทศ โดยคำนวณจากราคาหน้าโรงงาน และกรมสรรพสามิตจะพิจารณารับราคาหน้าโรงงานนี้ไม่ต่ำกว่า 76% ของราคาขายปลีกที่ขายให้กับผู้บริโภค คือ ถ้าราคาขายปลีกอยู่ที่ 100 บาท (รถยนต์ไม่เกิน 2000 ซีซี) ก็จะใช้ราคาหน้าโรงงานที่ 76 บาท มาคำนวณตามสูตร “ฝังใน” เพื่อให้ได้ภาษีสรรพสามิต

3. ภาษีมหาดไทย จะคิดที่อัตรา 10% ของภาษีสรรพสามิต เพื่อส่งให้กระทรวงมหาดไทย

4. ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% กรมสรรพากรเป็น ผู้จัดเก็บ เหมือนกรณีที่ 1 สมมุติให้รถขนาดไม่เกิน 2,000 ซีซี ราคารถหน้าโรงงานอยู่ที่ 100 บาท ภาษีสรรพสามิตก็จะอยู่ที่ 80.60 บาท บวกด้วยภาษีมหาดไทย 8.1 บาทและภาษีมูลค่าเพิ่ม 13.2 บาท ก็จะได้ราคาขายปลีกเท่ากับ 201.9 บาท หรือถ้าคิดในมุมกลับภาษีรวมของรถที่ผลิตในประเทศจะมีมูลค่าประมาณ 40-70% ของราคาขายปลีก ซึ่งจะขึ้นอยู่กับขนาดของเครื่องยนต์ ยิ่งปริมาตรกระบอกสูบมาก มูลค่าภาษีก็จะสูงตาม

 ตัวอย่างเช่น ถ้าซื้อรถที่ผลิตในประเทศ เครื่องยนต์ 1800 ซีซี ในราคา 7 แสนบาทนั้น หมายความว่า เราได้จ่ายภาษีให้รัฐประมาณ 2.8-3 แสนบาท ในขณะที่ภาษีรวมของรถนำเข้าจะคิดจากราคาขายปลีกไม่ได้เพราะยังไม่ได้รวมกำไรและค่าดำเนินการของผู้นำเข้า ฉะนั้นต้องคิดจากราคาทุน ซึ่งจะมูลค่าภาษีอยู่ที่ประมาณ 200-300 % ของราคาต้นทุน ตัวอย่าง เช่น ถ้ารถราคา 1 ล้านบาทในต่างประเทศ เมื่อนำเข้ามาขายที่เมืองไทย ต้องเสียภาษีรวมประมาณ 2 ล้านบาท ดังนั้น ผู้นำเข้าจึงต้องขายที่ราคา 3 ล้านขึ้นไปเพราะต้นทุนภาระภาษีที่สูงนี่เอง เพียงเท่านี้พอจะทำให้เข้าใจกันได้ว่า ทำไมเราถึงต้องซื้อรถที่แพงกว่าประเทศอื่นๆ อย่างมากมาย

วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555

จะซื้อรถโดยใช้สิทธิ์ โครงการ รถคันแรก ได้อย่างไร

จะซื้อรถโดยใช้สิทธิ์ โครงการ รถคันแรก ได้อย่างไร

 หลายท่านที่กำลังหาซื้อรถใหม่โดยต้องการความคุ้มค่าเหมาะสมกับราคาและการใช้งาน แล้วก็มาเห็นโครงการรถคันแรกที่รัฐบาล เค้าจัดตั้งขึ้นมา แต่ไม่รู้ว่า หลักการและวิธีการซื้อรถในโครงการรถคันแรกนั้นเป็นอย่างไร ทำอย่างไรถึงจะได้สิทธิ์ในการซื้อรถคันแรก วันนี้ผมจะอธิบายเงื่อนในการใช้สิทธิ์ของโครงการ รถคันแรกให้ทราบครับ

1.เงื่อนไขการขอใช้สิทธิ์ฯ สำหรับรถยนต์ใหม่คันแรกตามนโยบายรัฐบาล

1.1 เป็นรถยนต์ใหม่คันแรกที่ซื้อตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2554 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555
1.2 เป็นรถยนต์ราคาขายปลีกไม่เกิน 1,000,000 บาท/คัน
1.3 เป็นรถยนต์นั่งขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร/รถยนต์กระบะ (Pick up)/รถยนต์นั่งที่มีกระบะ (Double Cab)
1.4 เป็นรถยนต์ที่ผลิตขึ้นในประเทศ ไม่รวมถึงรถยนต์ที่ประกอบจากชิ้นส่วนนำเข้าใช้แล้วจากต่างประเทศ (รถยนต์จดประกอบ)
1.5 จ่ายเงินตามสิทธิ์ฯ โดยถือจำนวนตามค่าภาษีสรรพสามิตตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท/คัน
1.6 ผู้ซื้อต้องมีอายุ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป
1.7 ผู้ซื้อต้องครอบครองรถยนต์ไม่น้อยกว่า 5 ปี เว้นแต่กรณีเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังประกาศกำหนด
1.8 การจ่ายเงินตามสิทธิ์ฯ จะจ่ายให้เมื่อครอบครองรถยนต์ 1 ปีไปแล้ว (เริ่มจ่ายให้ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม 2555 เป็นต้นไป) โดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้ขอใช้สิทธิ์ สำหรับค่าธรรมเนียมใน การโอนจะหักจากเงินที่ได้รับตามสิทธิ์
*อัตราค่าธรรมเนียมในการโอนขึ้นอยู่กับระเบียบของธนาคารนั้น ๆ


2. ผู้ซื้อรถยนต์คันแรกสามารถตรวจสอบรายละเอียดยี่ห้อ รุ่นรถยนต์และประมาณการเงินคืน ทาง เว็บไซต์ของกรมสรรพสามิต

หรือ สามารถดูรุ่นหรือยี่ห้องของรถในโครงการรถคันแรกได้จากข้อมูลข้างล่างนี้ เบื้องต้น ณ วันที่ 18 ตุลาคม 2554

 3. ผู้ซื้อรถยนต์ใหม่คันแรก ต้องยื่นคำขอใช้สิทธิ์ฯ พร้อมเอกสารแนบ ดังนี้

3.1 สำเนาบัตรประชาชน
3.2 สำเนาทะเบียนบ้าน
3.3 สำเนาหนังสือสัญญาเช่าซื้อ (ในกรณีเช่าซื้อ)
3.4 สำเนาคู่มือการจดทะเบียน
3.5 หนังสือยินยอมสละสิทธิ์การโอนรถยนต์ใหม่คันแรก
3.6 สำเนาหลักฐานการซื้อขายรถยนต์ (กรณีซื้อเงินสดใช้สำเนาใบเสร็จรับเงินหรือสำเนาสัญญาซื้อขายและสำเนาเอกสารการรับมอบรถยนต์ กรณีเช่าซื้อใช้สำเนาใบเสร็จรับเงินและสำเนาเอกสารการรับมอบรถยนต์)
3.7 สำเนาบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้ใช้สิทธิ์

4. การยื่นแบบคำขอใช้สิทธิ์ฯ สำหรับรถยนต์ใหม่คันแรก ยื่นได้ 2 ช่องทาง คือ

4.1 ยื่นผ่านเว็บไซต์กรมสรรพสามิต http://www.excise.go.th ผู้ซื้อต้องจัดส่งคำขอพร้อมสำเนาเอกสารหลักฐานต้นฉบับ(รับรองสำเนาเอกสารทุกฉบับ)มายังสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ที่ระบุไว้ในแบบคำขอใช้สิทธิ์ฯ ทางไปรษณีย์ตอบรับ หรือนำส่งด้วยตนเอง สำหรับกรณีที่ผู้ซื้อยื่นแบบคำขอใช้สิทธิ์ฯ ไว้ในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ผู้ซื้อต้องส่งเอกสารหลักฐานต้นฉบับให้สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ที่ระบุไว้ในแบบคำขอภายในวันที่ 15 มกราคม 2556
4.2 ยื่นผ่านสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่สาขา ผู้ซื้อต้องไปยื่น
ณ สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่สาขา ตามสำเนาทะเบียนบ้าน หรือสถานที่จดทะเบียนรถยนต์ โดยผู้ซื้อต้องยื่นเอกสารหลักฐานให้ครบถ้วนภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2555

5. กรณีหากผู้ซื้อมีการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ 

หรือเปลี่ยนแปลงบริษัทหรือเปลี่ยนแปลงห้างหุ้นส่วนจำกัดที่เช่าซื้อ (Refinance) หรือเปลี่ยนแปลงยี่ห้อ รุ่นหรือแบบรถยนต์ ชื่อ ชื่อสกุล คำนำหน้านาม บัญชีเงินฝากธนาคารของผู้ขอใช้สิทธิ์ฯ ผู้ซื้อต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ณ สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ที่ระบุไว้ในแบบคำขอ ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วแต่กรณี ตามแบบคำขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลสำหรับรถยนต์ใหม่คันแรกตามนโยบายรัฐบาล

6. กรณีผู้ขอใช้สิทธิ์ฯ ประสงค์ขอยกเลิกการขอใช้สิทธิ์ฯ 

ก่อนได้รับเงินตามสิทธิ์ฯ ต้องมาแจ้งขอยกเลิก ณ สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ที่ได้ยื่นคำขอไว้ด้วยตนเอง

7. กรณีได้รับเงินตามสิทธิ์ฯ แล้ว แต่ประสงค์จะออกจากโครงการ 

ให้นำเงินส่งคืน ณ สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ที่ได้ยื่นคำขอไว้ตามแบบที่กำหนด

8. ผู้ซื้อสามารถตรวจสอบการได้รับสิทธิ์ฯ 

ทางเว็บไซต์ http://www.excise.go.th หรือที่สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ที่ยื่นคำขอฯ ไว้

9. หากผู้ซื้อได้รับสิทธิ์ฯ แล้ว แต่ภายหลังกระทำผิดเงื่อนไข

ข้อใดข้อหนึ่งที่ระบุไว้ในคำขอใช้สิทธิ์ฯ สำหรับรถยนต์ใหม่คันแรกตามนโยบายรัฐบาล ผู้ซื้อมีหน้าที่ต้องนำเงินที่ได้รับไปส่งคืนให้แก่สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ที่ยื่นคำขอใช้สิทธิ์ฯ ภายใน 15 วัน นับแต่ได้รับหนังสือแจ้งให้คืนเงิน

10. หากมีปัญหาหรือมีเหตุขัดข้อง 

สามารถติดต่อสอบถามได้ทางสายด่วน 1713 หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่/สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่สาขา ทั่วประเทศ 

หลักการ เลือก ซื้อ รถยนต์

 จะซื้อรถซักคัน ต้องดูอะไรบ้าง?

จะเราซื้อรถใหม่สักคัน ต้องคิดให้รอบคอบเพราะรถยนต์ไม่ใช่คันละบาทสองบาท ตัดสินใจผิดพลาดไปแล้วต้องมาปวดหัวกันทีหลังนั้น  คงจะไม่ดีแน่ๆ วันนี้เรามีแนวทางการพิจารณาเลือกซื้อรถใหม่แบบกว้างๆ ให้ท่านพอเป็นแนวทางสำหรับรถคันแรก หรือคันที่สอง สาม สี่ก็ว่าไป
เชื่อเหลือเกินว่า ประเด็นในการตัดสินใจเลือกซื้อรถซักคันของแต่ละคน นั้นไม่เหมือนกัน เพราะบางคนเอาสนนราคา (กับของแถม) เป็นที่ตั้ง บ้างก็ว่ากัน ที่รูปแบบ, ขนาดของตัวรถและจำนวนที่นั่ง หรือไม่ก็ขนาดของเครื่องยนต์ ซึ่งก็จะ รวมไปถึงสมรรถนะ และอัตราการสิ้นเปลืองเป็นหลัก ไม่ว่าจะอิงแนวไหน (หรือทั้งหมด) ก็ตามแต่นั่นก็ยังไม่สำคัญเท่ากับการที่เราได้รถที่ตรงกับความต้องการที่สุด แต่ก็คงจะยากซักนิดที่จะได้ครบทุกประการ มันก็คงจะต้องมีขาดๆ เกินๆ บ้างนิดๆ หน่อยๆ เป็นเรื่องธรรมดาครับ หลายคนๆ เลือกที่จะซื้อรถ โดยมักเอาราคาเป็นที่ตั้ง ทำให้รถที่นำมาเทียบกันนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ หรือขนาดของตัวรถแล้วจริงๆ แล้วเราต้องอาศัยปัจจัยใดบ้างในการเลือกรถที่สามารถตอบโจทย์เราได้มากที่สุด?

ซื้อรถ

1. งบประมาณที่มีอยู่ : อันนี้สำคัญไม่น้อย เพราะถ้าเราจะซื้อรถหรือซื้ออะไรก็ตาม ก็ควรจะเหมาะสมกับกำลังที่มี มิใช่ซื้อมาแล้วต้องมามีชีวิตยากลำบาก หรือ  ซื้อมาได้ไม่นานก็ถูกยึดไปเพราะด้วยเหตุผลอันใดก็ตามก็คงไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้นแน่นอนใช้มั้ยครับ ในส่วนของงบประมาณมีสิ่งที่ต้องคำนึงถึง ดังนี้

    - เงินสดที่ต้องใช้ : เงินสดสำหรับรถทั้งคันหรือ เงินดาวน์ รวมทั้งค่าประกันภัย, ค่าทะเบียนและ ค่าอุปกรณ์ต่างๆ

    - เงินที่จะต้องผ่อนแต่ละเดือน : สำหรับท่านที่ซื้อรถเงินผ่อนซึ่งนอกจากเงินผ่อนแล้ว อย่าลืมค่าน้ำมันเชื้อเพลิง, ค่าบำรุงรักษาต่างๆ, ค่าประกันภัย และค่าทะเบียนปีต่อๆไปด้วย


2. วัตถุประสงค์ใช้งาน : จะต้องถามตัวเองก่อนว่า เราซื้อรถมาใช้ประโยชน์อะไรและมีการใช้งานปกติอย่างไร มีข้อจำกัดในการใช้งานอย่างไรบ้าง ฯลฯ เมื่อทราบแล้วจึงดูว่า ในตลาดรถยี่ห้อใดรุ่นใดบ้าง ที่เหมาะกับการใช้งานของท่าน โดยทั่วๆ ไปจะมี คำถามที่เกี่ยวกับการใช้งานดังนี้ 

   2.1 ใช้รถในกรุงเทพฯ หรือ ออกต่างจังหวัดเป็นส่วนมาก หรือ ทั้งสองอย่าง
          - รถสำหรับใช้ในกรุงเทพฯ มักเรียกกันว่า City Car เป็นรถที่มีขนาดกะทัดรัด มีความคล่องตัวสูง มีอัตราเร่งดีตอนออกตัว ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากเป็นพิเศษ
          - รถใช้เดินทางต่างจังหวัด ควรเป็นรถขนาดกลางหรือใหญ่มีการทรงตัวดี เครื่องยนต์มีกำลังเร่งทั้งที่รอบต่ำและรอบสูง เป็นรถที่แข็งแรงทนทาน
    2.2 จำนวนผู้โดยสารประจำ
    2.3 ความจำเป็นต้องใช้บรรทุกของมากน้อย และบ่อยแค่ไหน
    2.4 ความจำเป็นต้องใช้การขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยปกติแล้วรถขับเคลื่อน 4 ล้อ จะราคาสูงกว่า, สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ค่อนข้างมากกว่า, มีค่าบำรุงรักษาสูงกว่า และ ซ่อมแพงกว่าซึ่งถ้าซื้อมาแล้วได้ใช้ประโยชน์คุ้มค่าก็ถือเป็นเรื่องดี และ ถ้าซื้อมาแล้ว ไม่ได้ใช้ขับเคลื่อน 4 ล้อเลย ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าเสียดาย
    2.5 ใช้ลุยน้ำท่วมหรือหรือชอบลุยป่าลุยเขาหรือไม่ ถ้าต้องลุยน้ำท่วม หรือเข้าป่าวฝ่าดง ก็ควรเป็นรถที่ยกสูงซึ่งมีทั้งขับเคลื่อน 4 ล้อและ ขับเคลื่อน 2 ล้อ ถ้าจะเอารถกระบะขับเคลื่อน2ล้อ เข้าป่า ถามว่าได้มั้ย ? มันก็ได้น่ะครับ แต่อาจจะมีบางทริปที่ท่านอาจจะต้องทิ้งรถแล้วเดินไปแน่ๆ
    2.6 อุปนิสัยการขับรถ ช้าหรือเร็ว ถ้าเป็นคนที่ขับรถช้า ขับไปเรื่อยๆ ก็คงไม่ต้องพิจารณาอะไรให้มากนัก แต่ถ้าเป็นคนที่ ชอบขับเร็วแล้วสมรรถนะเครื่องยนต์, ระบบช่วงล่าง, เกียร์, ระบบเบรก, ขนาดล้อและยาง, อุปกรณ์ความปลอดภัย ฯลฯ คงต้องนำมาพิจารณากันซึ่งถ้าจะให้มีครบ ก็ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น ครับ
    2.7 ความสะดวกสบายและหรูหรา ข้อนี้คงพิจารณาได้ง่ายเพราะขึ้นกับเงินในกระเป๋าเป็นหลัก
    2.8 ข้อจำกัดในการใช้งานอื่นๆ
        - ขนาดของประตูบ้าน, ที่จอดรถ และซอยเข้าบ้าน
        - ส่วนสูงของผู้ขับ
        - ความปลอดภัยของที่ที่จอดรถเป็นประจำ
        - ฯลฯ

3. การประหยัด

    3.1 อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง : รถที่ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง มักเป็นรถขนาดเล็ก , เครื่องยนต์ขนาดเล็ก, เครื่องยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่, ตัวถังออกแบบให้ลู่ลมมากกว่า, เครื่องยนต์ดีเซล มักจะมีอัตราสิ้นเปลือง น้ำมันเชื้อเพลิงน้อยกว่าเครื่องเบนซิน ฯลฯ

    3.2 ค่าบำรุงรักษา : หมายถึง ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถ เมื่อใช้งานถึงระยะทาง หรือ ระยะเวลาที่ผู้ผลิตได้กำหนดไว้ อาทิเช่น น้ำมันหล่อลื่นชนิดต่างๆ, ไส้กรองชนิดต่างๆ, หัวเทียน, สายพานต่างๆ, ยาง ฯลฯ รวมทั้งค่าแรง

    3.3 ค่าซ่อม : มายถึง ค่าแรงและค่าอะไหล่ของชิ้นส่วนที่หมดอายุการใช้งานหรือชำรุดโดยทั่วไปมักมีการแยกอะไหล่ เป็นกลุ่มดังนี้

        - อะไหล่ลิ้นเปลือง หรือ อะไหล่ที่ต้องมีการเปลี่ยนบ่อยๆ เช่น ผ้าเบรก, ยางปัดน้ำฝนอะไหล่ ที่เปลี่ยนเมื่อใช้งานครบระยะทาง หรือระยะเวลา ฯลฯ

        - อะไหล่ทั่วไป ซึ่งจะเปลี่ยนเมื่อตรวจพบว่าชำรุด

        - อะไหล่ตัวถัง

    3.4 ความทนทาน : ยิ่งเราซื้อรถไปเพื่อใช้งานหนัก หรือใช้มากเท่าใด ความทนทานก็ยิ่งมีความสำคัญมากเท่านั้น เพราะจะมี ผลอย่างมากต่อค่าใช้จ่าย และเวลาที่ต้องเสียไปกับการซ่อมบำรุงหากต้องการทราบว่ารถรุ่นไหนยี่ห้อไหน มีความทนทานมาก วิธีที่ง่ายก็คือ การสอบถาม จากผู้มีประสบการณ์หากเป็นรุ่นใหม่ในตลาดก็คงต้องดูที่ยี่ห้อว่าเป็นผู้ผลิต รถที่มี ความทนทานหรือไม่ นอกจากนี้สำหรับผู้เชี่ยวชาญทางวิศวกรรมยานยนต์ ก็อาจพอบอกได้จากการออกแบบ และลักษณะการใช้งานของรถคันนั้น

    3.5 การดูแลและการบำรุงรักษาด้วยตนเองหรือคนสนิท :ลือกรถที่สามารถดูแล และบำรุงรักษา ตลอดจนซ่อมบำรุงได้ด้วยตนเอง หรือ โดยคนสนิทที่คิดค่าใช้จ่ายถูกๆ ก็จะช่วยให้ประหยัดได้ไม่น้อย เลยนะครับ

    3.6 ราคาขายต่อมือสอง : จะมีความสำคัญขึ้นมาเมื่อท่านต้องการเปลี่ยนรถ 

4. การบริการหลังการขาย

    4.1 ศูนย์บริการ : มีอยู่ทั่วไป หาง่าย, มีการบริการที่ดีได้มาตรฐาน และ ซื่อสัตย์

    4.2 ความพร้อมของอะไหล่ : อะไหล่หาง่ายไม่ต้องรอนาน มีครบทุกชิ้น ในขณะที่มีรถบางรุ่นอาจต้องรออะไหล่เป็นเดือน

    4.3 เงื่อนไขการรับประกัน ระยะเวลา และความสะดวกในการทำเคลม

    4.4 การดูแลเอาใจใส่ของตัวแทนจำหน่าย และพนักงานขายหลังจากซื้อรถมาแล้ว ข้อมูลเกี่ยวกับการบริการหลังการขาย คงต้องมาจากประสบการณ์ของท่าน ของคนรู้จัก หรือ อ่านจากหนังสือต่างๆ หรือ ภาพพจน์ชื่อเสียงที่ผ่านมา

5. ศึกษารุ่นรถนั้นๆ ไว้ให้มาก  

     หลังจากที่เราได้รุ่น และได้ราคาของรถที่ตรงใจแล้ว ก็ ต้องมาศึกษาถึงข้อดีข้อเสียต่างๆ ของรถรุ่นนั้นๆ กันต่อ ว่าแต่จะหาจากที่ไหนล่ะ? ไม่ต้องกลัวครับ ทุกวันนี้เครือข่ายไร้พรมแดนนั้นทำให้เราสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้
อย่างมากมาย ก็เข้าไปศึกษาให้เยอะครับ ทั้งเรื่องปัญหา, สมรรถนะ, อัตราการสิ้น เปลือง, ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา ฯลฯ เพื่อที่ให้เราสามารถรู้จุดอ่อนจุดแข็งของ รถรุ่นนั้นๆ ให้มากที่สุด

6. ซื้อที่ไหน

     อันนี้ส่วนใหญ่จะอาศัยการบอกกันแบบปากต่อปาก,คนรู้จักแนะนำ หรือไม่ก็จากผู้ใช้ที่โพสท์ผ่านเว๊บไซต์ต่างๆเนื่องจากการซื้อรถใหม่ของคนไทยนั้น มักจะเน้นไปที่ของแถมหรือส่วนลดเป็นหลัก ซึ่งสามารถที่จะสลับสับเปลี่ยนได้จน
กว่าจะพอใจ หากว่าซี้กับเซลล์หรือดีลเลอร์เป็นพิเศษ ก็เป็นผลประโยชน์ของเราครับ

7. ทดลองขับ  

     พลาดไม่ได้เลยครับกับการทดลองขับรถรุ่นที่เราหมายปองก่อนที่ จะจับจอง เพื่อจับอาการต่างๆ ของตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์, การบังคับควบ คุม, ช่วงล่าง, เบรคหรือภายในห้องโดยสาร อ้อ อย่าลืมสลับขับรถคันอื่นๆ (ถ้ามี) ด้วยนะครับ เหมือนที่เค้าว่ากันว่า “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคล่ำ”  บางครั้งเราอาจจะคิดว่า ใช่เลย รถรุ่นนี้มันเกิดมาเพื่อเราจริงๆ  แต่พอได้ลองขับเท่านั่นละครับ มันอาจจะเปลี่ยนความคิดเราก็ได้  ก็ของมันราคาไม่ใช่ร้อยสองร้อยนะครับ จะซื้อทั้งที่ก็ควรพิถีพิถันกันหน่อย ซื้อมาแล้วก็ต้องมีความสุขที่ได้ใช้มัน หากซื้อมาแล้วมานั่งทุกข์ จะผ่อนไหวมั้ย ตรงโน้นไม่สวย ตรงนี้นั่งไม่สบายไม่อยากจะขับ    แล้วจะซื้อมา เพื่อ!!!