This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ยางรองแท่นเครื่อง ควรเปลี่ยนเมื่อไหร่


สวัสดีครับ วันนี้ CarClub ได้ยินเพื่อนหลายท่านที่ใช้รถอยู่ พูดถึงอาการเครื่องสั่นผิดปรกติ เราจึงไปหาคำตอบมาให้เพื่อนได้ทราบถึงอาการและการแก้ไขกันครับ  เวลาที่เครื่องยนต์อยู่ในรอบเดินเบา ตอนเร่งเครื่องรู้สึกถึงอาการเครื่องโยน เวลาคอมเพรสเซอร์แอร์ตัดจะมีอาการ สั่นคล้ายๆ องค์จะลง ปัญหาเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมาจาก ยางรองแท่นเครื่องเสื่อมครับ ปกติแล้ว แท่นยางรองเครื่อง มีอายุการใช้งานประมาณ 100 000 กิโลเมตร แต่ด้วยอุณหภูมิในบ้านเราค่อนข้างร้อน ทำให้วัสดุยางที่ใช้เสื่อมสภาพเร็วขึ้นครับ

การเลือกสีรถ ให้ถูกโฉลก


มาเลือกสีรถให้ถูกโฉลกกัน! 

 

หลายท่านที่กำลังมีโครงการจะซื้อรถก็คงกำลังคุ่นคิดกันว่าจะซื้อรถสีอะไรมาครอบครองกันดี ก็ของมันไม่ใ่ชบาทสองบาทหน่ะซิครับ ถ้ามันถูกเหมือนลูกอมละก็ จะซื้อทุกสีเลยก็คงไม่ไม่ต้องคิดกันมาก และด้วยสังคมไทยที่ค่อนข้างเชื่อถือในเรื่องโชคราง ฤกษ์มงคงต่างๆ ซึ่งอย่างน้อยมันก็ทำให้เราสบายใจและไม่ได้ทำความเดือร้อนให้ใครๆ วันนี้ CarBlub  จะนำเสอนการเลือกสีของรถคันโปรดของท่าน ที่เป็นศรีและมงคล สำหรับคนเกิดวันต่างๆเชิญติดตามกันได้เลยครับ

คนเกิดวันอาทิตย์
           1. คนที่เกิดวันอาทิตย์  สีเขียว เป็น ศรี
- ตามหลักทักษาแล้วคนที่เกิดวันอาทิตย์ ห้ามใช้ ฮ ศ ห ษ ส ฬ เพราะเป็นอักษรกาลกิณี
- เลขทะเบียนรถห้าม ไม่ให้มีเลข 3 และเลข 6
- ไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันศุกร์ เพราะเป็นกาลกิณีในวันเกิดและไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันอังคาร เพราะเป็นวันคู่ศัตรูกับวันเกิด
- ถ้าจะออกรถ สีรถที่ควรจะเลือกใช้หรือสีรถที่ถูกโฉลก ของคนเกิดวันอาทิตย์ ซึ่งสีที่ถูกโฉลกมีดังนี้ครับ
รถสีแดงก่ำหรือสีแดงเลือดหมู
เสริมสง่าราศี มากด้วยบุญบารมี มีอำนาจวาสนา คนนบนอบยำเกรง
รถสีดำ
เสริมความน่าเคารพนับถือ เสริมดวงเรื่องทรัพย์สินเงินทอง การเงิน

รถสีขาว หรือ สีครีม
เสริมความสงบปลอดภัยจากเหตุร้ายต่างๆ เช่น อุบัติเหตุ แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง

รถสีม่วงเปลือกมังคุด
เสริมดวงทางด้านศรัทธาและความน่าเชื่อถือ ความไว้วางใจ รวมไปถึงดวงเรื่องการเงิน

รถสีเขียว
เสริมดวงให้มีคนรักเมตตา อุปถัมภ์ค้ำชู ช่วยเหลือทำให้สะดวกราบรื่นในเรื่องต่างๆ

รถสีบรอนซ์ สีเทา สีทอง
เสริมดวงในเรื่องเมตตามหานิยม เสริมเสน่ห์ การสนับสนุนเกื้อกูล

รถสีฟ้า สีน้ำเงิน
ไม่ควรออกรถสีนี้ เพราะเป็นกาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง จะมีอุปสรรคในการดำเนินชีวิต
              

คนเกิดวันจันทร์
2. คนที่เกิดวันจันทร์  สีดำ เป็น ศรี
- ตามหลักทักษาคนที่เกิดวันจันทร์ห้ามใช้ สระทั้งหมด (เว้นไม้หันอากาศและตัวการันต์) เพราะจะเป็นอักษรกาลกิณี
- เลขทะเบียนรถห้ามไม่ให้มีเลข 1 และเลข 5
- ไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันอาทิตย์ เพราะวันอาทิตย์ เป็นกาลกิณีในวันเกิดและไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันพฤหัสบดี เพราะเป็นวันคู่ศัตรูวันเกิด
- ถ้าจะออกรถ สีรถที่ควรเลือกใช้หรือสีรถที่ถูกโฉลก ของคนเกิดวันจันทร์ ได้แก่

รถสีส้ม สีเหลืองแก่
จะเสริมดวงเรื่องการเงิน ความมั่นคง ทุนทรัพย์ ราคาและคุณค่าที่จะเพิ่มพูนให้แก่ตนเองในปัจจุบันและภายภาคหน้า

รถสีดำ
จะเสริมความสงบปลอดภัยจากเหตุร้าย ต่างๆ แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง

รถสีน้ำเงิน สีทอง
เสริมเสน่ห์ ผู้ใหญ่รักเมตตาและเอ็นดู มีแต่สิ่งที่เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ทั้ง หลักทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรักใคร่เมตตา และศรัทธาในตัวเรา

รถสีม่วงเปลือกมังคุด
จะเสริมดวงด้านความสะดวกราบรื่นทุกอย่าง

รถสีชมพู
จะเสริมดวงให้ประสพผลสำเร็จได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู และได้รับการสงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ได้รับการส่งเสริม ในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน

รถสีฟ้า
จะเสริมดวงให้ประสพความสำเร็จทั้งในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน

รถสีเขียว
จะอำนาจวาสนา บารมี เกียรติยศ และชื่อเสียงตำแหน่งหน้าที่การงาน อานุภาพอิทธิพลที่ทำให้คนเคารพยำเกรง มีความสามารถในการควบคุมบังคับบัญชาคน

รถสีแดง
สีต้องห้าม เพราะเป็น กาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต

คนเกิดวันอังคาร
3.คนที่ เกิดวันอังคาร  สีเหลือง เป็น ศรี
- ตามหลักทักษาคนที่เกิดวันอังคาร ห้ามใช้ ก ข ค ง ฆ เพราะจะเป็นอักษรกาลกิณี
- เลขทะเบียนรถห้าม ไม่ให้มีเลข 1และเลข 2  เพราะทะเบียนที่มีเลขดังกล่าว จะมีเรื่องและเกิดอุบัติบ่อยๆ ทำให้เสียเงินทองหรือทำให้เจ้าของได้รับบาดเจ็บ
- ไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันจันทร์ เพราะเป็นกาลกิณีในวันเกิดและไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันอาทิตย์ เพราะเป็นวันคู่ศัตรูกับวันเกิด
- ถ้าจะออกรถ สีรถที่ควรเลือกใช้หรือสีรถที่ถูกโฉลก ของคนเกิดวันอังคาร

รถสีม่วงแก่
จะเสริมวาสนาบารมี โชคลาภ ความโชคดี

รถสีดำ
จะเสริมดวงด้านพลังอำนาจ เกียรติยศ และชื่อเสียงตำแหน่งหน้าที่การงาน อานุภาพอิทธิพลที่ทำให้มีคนเคารพยำเกรง มีความสามารถในการควบคุมบังคับ

รถสีบรอนซ์ สีเทา
จะเสริมความน่าเชื่อถือ ความไว้วางใจ

รถสีทอง สีแสด
จะเสริมความสงบปลอดภัยจากเหตุร้าย แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง

รถสีน้ำตาล
จะเสริมดวงด้านความมั่นคงในชีวิต เช่นมั่นคงเรื่อง หลักทรัพย์ ทรัพย์สินและหน้าที่การงาน

รถสีเขียว
เสริมดวงด้านการแก้ปัญหา ไร้อุปสรรค, ศัตรูและคู่แข่ง

รถสีแดง สีชมพู
เสริมดวงให้ประสพผลสำเร็จให้ได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู ได้รับการสงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ทั้งยังได้รับการส่งเสริม ในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงานอีกด้วย

รถสีขาว สีเหลืองนวล
เป็นสีต้องห้าม เพราะเป็น กาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต

4. คนที่เกิดวันพุธ แยกเป็นสองช่วงเวลาดังนี้

   คนที่เกิดวันพุธ กลางวัน  สีเขียวอ่อน เป็น ศรี
คนเกิดวันพุธ  (ในช่วงกลางวัน เวลา 06.01-18.00)
  - ตามหลักทักษาคนที่เกิดในวันพุธ (กลางวัน) ห้ามใช้ จ ฉ ช ซ ฌ ญ เพราะจะเป็นอักษรกาลกิณี
- เลขทะเบียนรถห้าม ไม่ให้มีเลข 3 และเลข 8
- ไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันอังคาร เพราะวันอังคาร เป็นกาลกิณีในวันเกิดและไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันพุธ (กลางคืน) เพราะเป็นวันคู่ศัตรูวันเกิด
- ถ้าจะออกรถ สีรถที่ควรจะเลือกใช้หรือสีรถที่ถูกโฉลก ของคนเกิดวันพุธ (กลางวัน)

รถสีน้ำเงิน สีฟ้า
จะเสริมดวงด้านความเคารพนับถือ ยกย่องยอมรับ

รถสีน้ำตาล สีทอง
จะเสริมดวงทางด้านพลังอำนาจ เกียรติยศ และชื่อเสียงและตำแหน่งหน้าที่การงาน อานุภาพอิทธิพลที่ทำให้คนเคารพยำเกรง มีความสามารถในการควบคุมบริวาน

รถสีขาว สีเหลืองอ่อน
จะเสริมดวงให้ประสพผลสำเร็จได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู ได้รับการสงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ได้รับการส่งเสริม ในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน

รถสีเทา สีบรอนซ์
จะเสริมความสงบปลอดภัยจากเหตุร้าย เช่น อุบัติเหตุ แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง

รถสีดำ
จะเสริมดวงด้านการแก้ปัญหา ไร้อุปสรรค และคู่แข่ง ชีวิตจะมีแต่ความสะดวก ราบรื่น

รถสีม่วงแก่
จะเสริมโชควาสนาเสริมวาสนาบารมี โชคลาภและ ความโชคดี

รถสีเขียว
จะเสริมดวงด้านเสน่ห์ที่ทำให้คนรักใคร่เมตตาและมีศรัทธาในตัวเรา

รถสีชมพู สีแสด
จะเป็นสีต้องห้าม เพราะเป็น กาลกิณี จะมีความโชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต

คนเกิดวันพุธ  (กลางคืน 18.01-06.00)
- ตามหลักทักษาคนที่เกิดวันพุธ (กลางคืน) ห้ามใช้ บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม เพราะเป็นอักษรกาลกิณี
- เลขทะเบียนรถห้าม ไม่ให้มีเลข 5 และเลข 4
- ไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันพฤหัสบดี เพราะจะเป็นกาลกิณีในวันเกิดและไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันพุธ (กลางวัน)
เพราะเป็นวันคู่ศัตรูวันเกิด
- ถ้าจะออกรถ สีรถที่ควรเลือกใช้หรือสีรถที่ถูกโฉลก ของคนเกิดวันพุธ (กลางคืน)

รถสีชมพู
จะเสริมดวงให้คนเชื่อถือและไว้วางใจ

รถสีดำ
จะเสริมดวงด้านความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน

รถสีเทา สีบรอนซ์
จะเสริมความสงบปลอดภัยจากเหตุร้าย เช่น อุบัติเหตุ แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง

รถสีม่วงแก่
จะเสริมดวงให้ประสพความสำเร็จได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชูได้รับการสงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่รวมถึงการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน

รถสีน้ำเงิน สีฟ้า
จะเสริมดวงด้านการแก้ปัญหา ไร้อุปสรรค ไร้ศัตรู  ชีวิตมีแต่ความสะดวก ราบรื่น

รถสีแดง สีน้ำตาล
จะเสริมโชควาสนา เสริมวาสนาบารมี โชคลาภและความโชคดี

รถสีส้ม สีทอง
จะเป็นสีต้องห้าม เพราะเป็น กาลกิณี จะทำให้มีความโชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต
   
5. คนที่เกิดวันพฤหัสบดี  สีส้ม เป็น ศรี
คนเกิดวันพฤหัสบดี
 - ตามหลักทักษาแล้ว คนที่เกิดวันพฤหัสบดี ห้ามใช้ ด ต ถ ท ธ น เพราะเป็นอักษรกาลกิณี
- เลขทะเบียนรถนั้นห้าม ไม่ให้มีเลข 7
- ไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันเสาร์ เพราะว่าเป็นกาลกิณีกันในวันเกิด
- ถ้าจะออกรถ สีรถที่ควรเลือกใช้หรือสีรถที่ถูกโฉลก ของคนเกิดวันพฤหัสบดี

รถสีขาว
จะเสริมดวงให้คนเชื่อถือและไว้วางใจ

รถสีแดง
จะเสริมดวงด้านความสงบปลอดภัยจากเหตุร้าย แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง

รถสีเทา สีบรอนซ์
จะเสริมดวงด้านการแก้ปัญหา ไร้อุปสรรค ไร้ศัตรูและคู่แข่ง ชีวิตมีแต่ความสะดวก ราบรื่น

รถสีฟ้า
จะเสริมโชควาสนาบารมี โชคลาภ และความโชคดี

รถสีเขียว
จะเสริมดวงให้ประสพผลสำเร็จได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู ทำให้ได้รับการสงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ได้รับการส่งเสริม ในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน

รถสีส้ม สีทอง
จะเสริมความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรักใคร่เมตตา

รถสีดำ สีม่วง สีน้ำเงิน
จะเป็นสีต้องห้าม เพราะเป็น กาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต

6. คนที่เกิดวันศุกร์  สีชมพู เป็น ศรี
คนเกิดวันศุกร์
- ตามหลักทักษาแล้ว คนที่เกิดวันศุกร์ ห้ามใช้ ย ร ล ว เพราะจะเป็นอักษรกาลกิณี
- เลขทะเบียนรถห้าม ไม่ให้มีเลข 7 และเลข 8
- ไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันพุธ (กลางคืน) เพราะจะเป็นกาลกิณีในวันเกิดและไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันเสาร์
เพราะจะเป็นวันคู่ศัตรูวันเกิด
- ถ้าจะออกรถ สีรถที่ควรเลือกใช้หรือสีรถที่ถูกโฉลก ของคนเกิดวันศุกร์

รถสีเขียว
จะเสริมดวงให้คนเชื่อถือและไว้วางใจ

รถสีสีแดง สีทอง
จะเสริมดวงด้านความก้าวหน้าเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน

รถสีแดง สีชมพู
จะเสริมดวงด้านความสงบปลอดภัยจากเหตุร้าย แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง

รถสีเหลือง
จะเสริมดวงให้ประสพผลสำเร็จได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู ทั้งยังได้รับการสงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ได้รับการส่งเสริม ในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน

รถสีดำ
จะเสริมดวงด้านการแก้ปัญหา ไร้อุปสรรค ไร้ศัตรูและคู่แข่ง ชีวิตมีแต่ความสะดวก ราบรื่น

รถสีน้ำตาล
จะเสริมโชควาสนา เสริมวาสนาบารมี โชคลาภ และความโชคดี

รถสีฟ้า สีน้ำเงิน
จะเสริมความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรักใคร่เมตตา

รถสีเทา สีบรอนซ์ สีม่วง
จะเป็นสีต้องห้าม เพราะเป็น กาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต
7. คนที่เกิดวันเสาร์  สีน้ำเงิน เป็น ศรี
คนเกิดวันเสาร์
 - ตามหลักทักษาแล้ว คนที่เกิดวันเสาร์ ห้ามใช้ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ เพราะจะเป็นอักษรกาลกิณี
- เลขทะเบียนรถห้าม ไม่ให้มีเลข 4 และเลข 6
- ไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันพุธ (กลางวัน) เพราะเป็นกาลกิณีในวันเกิดและไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันศุกร์
เพราะจะเป็นวันคู่ศัตรูวันเกิด
- ถ้าจะออกรถ สีรถที่ควรเลือกจะใช้หรือสีรถที่ถูกโฉลก ของคนเกิดวันเสาร์คือ

รถสีแดง
จะเสริมดวงให้คนยอมรับเชื่อถือและความไว้วางใจ

รถสีชมพู
จะเสริมดวงให้ประสบความสำเร็จ ได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู ได้รับการสงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ได้รับการส่งเสริม ในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน

รถสีน้ำเงิน สีฟ้า
จะเสริมดวงด้านความสงบปลอดภัยจากเหตุร้าย แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง

รถสีทา สีบรอนซ์
จะเสริมโชควาสนา เสริมวาสนาบารมี โชคลาภ ความโชคดี

รถสีทอง สีเหลือง
จะเสริมดวงด้านการแก้ปัญหา ไร้อุปสรรค ไร้ศัตรูและคู่แข่ง ชีวิตจะมีแต่ความสะดวก ราบรื่น

รถสีดำ สีม่วงแก่
จะเสริมความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรักใคร่เมตตา

รถสีเขียว สีแสด
เป็นสีต้องห้าม เพราะเป็น กาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง จะมีอุปสรรคในการดำเนินชีวิต

ส่วนคนที่ซื้อรถมาแล้วนั้น แต่เป็นสีที่ไม่ถูกโฉลกกับเรา วันนี้ CarClub ก็ยังมีวิธีแก้เคล็ดอยู่เพื่อความสบายใจดังนี้ครับ

      วิธีแก้เคล็ดสำหรับผู้ที่ใช้สีรถที่เป็นกาลกิณีวันเกิด เช่น คนเกิดวันอาทิตย์ ใช้รถสีฟ้า หรือสีน้ำเงิน เป็นต้น ให้หาสติกเกอร์ "สีที่เป็นศรี" ของวันเกิดของเจ้าของรถเช่น คนที่เกิดวันอาทิตย์ มีสีเขียวเป็นศรี เป็นต้น เมื่อได้สีนั้นมาแล้ว ให้ตัดสติกเกอร์ให้ได้ขนาดประมาณ 2x2 นิ้ว จำนวน 4 แผ่น แล้วเอาไปติดตำแหน่งของรถต่อไปนี้ แผ่นที่ 1.บริเวณกระโปรงหน้ารถ (ตรงกลาง)1 แผ่น  แผ่นที่ 2. ติดบิเวณกระโปรงหลัง (หรือฝาท้าย)  แผ่นที่3. ติดที่บริเวณประตูหน้าซ้าย  แผ่นที่4. ติดที่ประตูหน้าขวาครับ

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ECO Car คืออะไร


ECO Car เป็นนวัตกรรมที่เกิดขึ้นจากการประกวดเทคโนโลยียานพาหนะโดยการให้นักเรียนวิศวกรรมโอกาสที่จะออกแบบและสร้างยานพาหนะขั้นสูง ที่แสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยียานยนต์ระดับแนวหน้า โดยมีเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในการขนส่งส่วนบุคคลและแสดงเส้นทางไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนในการขนส่ง ซึ่งเทคโนโลยี ECO CAR ได้ผลิตขึ้นเพื่อตอบสนอง ความต้องการในการใช้พลังงานที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างสูง รวมถึงการนำเทคโนโลยีใรรูปแบบไฟฟ้า, ไฮบริด ซึ่งพลังงานไฮบริดจะใช้เชื้อเพลิงประเภทเอททานอล E10, E85 เอทานอลไบโอดีเซล B20

วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

Mitsubishi Mirage เริ่มเดินเครื่องผลิตในประเทศไทยแล้ว


มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น (เอ็มเอ็มซี) ได้ประกาศเริ่มผลิตรถยนต์มิตซูบิชิ มิราจ ใหม่ “รถยนต์นั่งขนาดเล็กสำหรับตลาดโลก” อย่างเป็นทางการ ณ โรงงานแหลมฉบัง ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย พร้อมทั้งถือโอกาสนี้จัดงานเปิดสายพานการผลิตรถรุ่นดังกล่าว โดยมี มร.โอซามุ มาสุโกะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และแขกผู้มีเกียรติร่วมพิธีอย่างคับคั่ง

มิตซูบิชิ มิราจ เป็น “รถยนต์นั่งขนาดเล็กสำหรับตลาดโลก” ที่ได้รับการออกแบบเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการรถยนต์ขนาดเล็กของตลาดในประเทศเศรษฐกิจใหม่ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงตอบสนองความต้องการด้านรถเพื่อสิ่งแวดล้อมในตลาดประเทศที่พัฒนาแล้ว มิราจ จะถูกผลิตขึ้นจากโรงงานใหม่แห่งที่ 3 ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในประเทศไทย ในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ซึ่งถือเป็นฐานการผลิตและส่งออกใหญ่ที่สุดของบริษัทฯ ที่อยู่นอกประเทศญี่ปุ่น มิราจ เปิดขายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา ก่อนจะส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศต่างๆ ทั้งในภูมิภาคอาเซียน ญี่ปุ่น รวมไปถึงภูมิภาคยุโรป และขยายไปยังประเทศอื่นๆ ต่อไป ทั้งนี้บริษัทฯ ได้มีแผนที่จะเปิดตัวรถยนต์ มิราจ ในประเทศญี่ปุ่นในฤดูร้อนปีนี้ (ประมาณเดือนกรกฎาคม)

“ปัจจุบัน มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้กลายเป็นหนึ่งในฐานการผลิตหลักของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น อย่างไม่มีข้อสงสัย ทั้งนี้จากการที่โรงงาน ณ นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังแห่งนี้ได้เริ่มการผลิตรถยนต์มิตซูบิชิ มิราจ จึงเป็นเรื่องสำคัญในการที่จะรักษาระดับของคุณภาพให้ทัดเทียมกับรถยนต์ที่ผลิตจากโรงงานในประเทศญี่ปุ่น เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจในเรื่องดังกล่าว มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น จึงได้ส่งผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบจากประเทศญี่ปุ่นมาตรวจสอบรถยนต์ให้ได้คุณภาพ 100 % ก่อนที่จะทำการขนส่ง รวมไปถึงฝึกอบรมพนักงานตรวจสอบคุณภาพชาวไทยเพื่อให้เกิดระบบควบคุมคุณภาพระดับสูงสุด ผมเชื่อว่า มิตซูบิชิ มิราจ ใหม่ เป็นรถที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงและจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากตลาดทั่วโลก เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า มิราจ ใหม่ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เชิงกลยุทธ์ระดับโลกคันนี้ จะมีส่วนสำคัญในการสร้างอนาคตที่สดใสให้กับบริษัท” มร.โอซามุ กล่าว

มิราจ กำลังเป็นที่นิยมในประเทศไทย โดยปัจจุบัน มีตัวเลขยอดจองแล้วกว่า 15,000 คัน

     มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ได้ประกาศแผนธุรกิจในระยะเวลา 3 ปี หรือ “JUMP 2013” ในเดือนมกราคม 2554 ที่ผ่านมา โดยหนึ่งในประเด็นหลักของแผนงานดังกล่าวคือการที่จะเพิ่มทรัพยากรในการดำเนินงานในตลาดเศรษฐกิจใหม่ ทั้งนี้ในบรรดาตลาดเศรษฐกิจใหม่นั้น มิตซูบิชิ ได้ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียน ดังนั้นการผลิตและการส่งออกมิราจจากประเทศไทยไปจำหน่ายทั่วโลกในครั้งนี้จึงเป็นหนึ่งในกลวิธีสำหรับส่งเสริมกลยุทธ์ดังกล่าว ทั้งนี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น จะยังคงที่จะสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัทฯ ในตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพสูงอย่างเต็มที่ต่อไป
  
สำหรับท่านที่ต้องการดู ตารางเงินดาวน์ และ การผ่อนชำระ สำหรับ Mitsubishi Mirage คลิกเลยครับ

ตารางเงินดาวน์ และ ผ่อนชำระ สำหรับMitsubishi Mirage

ตารางเงินดาวน์ และ การผ่อนชำระ สำหรับ Mitsubishi Mirage สำหรับท่านที่สนใจสามารถสอบถามที่ศูนย์   Mitsubishi ได้อีกทางนึงน่ะครับ
ตารางเงินดาว์น  Mitsubishi Mirage

ออฟเซ็ต (offset) คืออะไร การเลือกล้อรถให้เหมาะสมกับรถของเรา แล้วรถเรา จะเลือกล้อที่มีออฟเซ็ตเท่าไหร่?


ออฟเซ็ต (Offset) หรือ ET

   Offset คือค่าระยะห่าง ระหว่าง เส้นแบ่งครึ่งล้อ ตามแนวขวาง กับ หน้าแปลนของล้อ (Hub Mounting Surface) โดยมีหน่วยเป็น มิลลิเมตร 



    ค่า Offset ส่งผลอะไรกับรถของเรา ? 

    ค่า Offset จะส่งผลโดยตรงกับระยะหรือตำแหน่งของล้อ ว่าจะยื่นออก หรือ หุบเข้า ไปในตัวรถของท่าน ดังนั้น การเลือกล้อที่มีค่า Offset ที่ถูกต้องเหมาะสมจึงมีความจำเป็น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยทีเดียว

             


  ออฟเซ็ตศูนย์ ( Offset Zero )



       คือกระยะห่างของ หน้าแปลนล้อ ( Hub Mounting Surface ) ตรงกับ เส้นแบ่งครึ่งของ ล้อตามแนวขวางของล้อพอดี






ออฟเซ็ตบวก ( Positive Offset )

         คือตำแหน่งยึดดุมล้อ เยื้องออกมาด้านหน้า (ด้านนอกรถ หรือด้านหน้าของแม็กซ์) เริ่มจากจุดศูนย์กลางของล้อ ถ้าหน้าแปลนยึดดุมเริ่มเดินหน้าออกมา ถือว่าเป็น ออฟเซตบวกทันที เช่นเดินหน้าออกจากจุดศูนย์กลางมา 1 มิลลิเมตร เรียก +1 ถ้าเดินหน้าออกมา 10 มิลลิเมตร เรียก + 10 หรือเดินหน้าออกมา 38 มิลิเมตรเรียก + 38 เป็นต้น สังเกตง่ายออฟเซตยิ่งติดบวกมาก ลายด้านหน้าของล้อแม็กซ์ ก็จะออกมามาก หรือแทบออกมาเสมอกับขอบล้อด้านนอกเลย
 









ออฟเซ็ตลบ ( Negative Offset )

         ตรงข้ามกับออฟเซตบวก พวกนี้ตำแหน่งยึดดุมล้อจะถอยเข้าไปด้านในของล้อ นับจากจุดศูนย์กลางล้อ ยิ่งถอยเข้าไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งติดลบมากเพียงนั้น ล้อแม็คพวกนี้สังเกตได้คือ ลายด้านหน้าของแม็กซ์จะอยู่ลึกเข้าไปด้านในจากขอบล้อด้านนอก ยิ่งลึกมากยิ่งติดลบมากหรือที่เรียกๆกัน แม็กซ์ออฟลึก (โคตร) นั่นเอง





สังเกตอย่างไรว่า ล้อนั้นมีออฟเซ็ตที่พอดีกับรถ

          อาจจะสังเกตง่ายๆด้วยสายตา การมองใกล้ๆที่ซุ้มล้อ ล้อที่ใส่ยาง และเติมลมได้ในระดับพอดี จะต้องไม่มีส่วนใดของยาง หรือแม้แต่แก้มยาง (แลบ) เกินออกมานอกซุ้มล้อ หรือหุบหายจากซุ้มล้อมากเกินไป หรือใช้ไม้ยาวๆ หรือไม้บรรทัดทาบกับซุ้มล้อดูในแนวตั้งฉาก ถ้าออฟเซตบวกมากไป ล้อ และยางจะหุบเข้าไปในซุ้มล้อ แต่ถ้าออฟเซตบวกน้อยไปล้อ และยางก็จะยื่นออกมานอกซุ้มล้อ
วิธีดูเลข ออฟเซตของล้อ
         ล้อแม็กซ์บางรุ่น หรือเกือบทุกยี่ห้อจะกำหนดตัวเลขออฟเซ็ตมาให้เห็นอย่างชัดเจน เช่นปั้มเป็นตัวนูนบ้าง เป็นลักษณะตอกพิมพ์ให้เกิดตัวเลข หรือเป็นสติกเกอร์แปะไว้ ซึ่งกำหนดตัวเลข เช่น Offset 42 ก็จะเป็น ET42 บ้าง +42 บ้าง หรือ 42 เฉยๆ แล้วแต่ลักษณะของบริษัทผู้ผลิตล้อ   
แต่หากดูที่ล้อแล้ว ไม่ปรากฏ ตัวอักษรหรือตัวเลขดังกล่าว  เราก็มีวิธีหาค่า Offset ได้เหมือนกัน แต่ต้องใช้เครื่องวัดและการคำนวณประกอบกัน

วิธีดูเลข ออฟเซตของล้อ

         ล้อแม็กซ์บางรุ่น หรือเกือบทุกยี่ห้อจะกำหนดตัวเลขออฟเซ็ตมาให้เห็นอย่างชัดเจน เช่นปั้มเป็นตัวนูนบ้าง เป็นลักษณะตอกพิมพ์ให้เกิดตัวเลข หรือเป็นสติกเกอร์แปะไว้ ซึ่งกำหนดตัวเลข เช่น Offset 42 ก็จะเป็น ET42 บ้าง +42 บ้าง หรือ 42 เฉยๆ แล้วแต่ลักษณะของบริษัทผู้ผลิตล้อ

วิธีวัดออฟเซตของล้อ         
        มีส่วนมากที่ไม่มีการตีตัวเลข Offset ไว้ที่ล้อ (ปกติข้างกล่อง จะมีตัวเลข Offset , P.c.d. หรือสี มาให้ทุกกล่อง แต่ถ้ากล่องหาย หรือเป็นแม็กซ์มือสอง เรามีวิธีวัดหาค่า Offset ได้อย่างคร่าว ดังนี้  ล้อที่ยังไม่ใส่ยางถือว่าเป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าล้อที่จะวัดถ้าเป็นล้อที่ใส่ยางแล้ว การถอดมาวัดด้านนอกถือว่าจะได้ความถูกต้องแม่นยำกว่า และต้องรู้ขนาดความกว้างของล้อ ที่ระบุไว้ชัดเจน หรือใช้วิธีการวัด ด้วยอุปกรณ์การวัดง่ายๆ ด้วยการหาไม้ หรือวัสดุแข็งๆมาทาบกับล้อ ตลับเมตรหรือไม้บรรทัด และเครื่องคิดเลขอีกสักตัว  มีส่วนมากที่ไม่มีการตีตัวเลข Offset ไว้ที่ล้อ (ปกติข้างกล่อง จะมีตัวเลข Offset , P.c.d. หรือสี มาให้ทุกกล่อง แต่ถ้ากล่องหาย หรือเป็นแม็กซ์มือสอง เรามีวิธีวัดหาค่า Offset ได้อย่างคร่าว ดังนี้  ล้อที่ยังไม่ใส่ยางถือว่าเป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าล้อที่จะวัดถ้าเป็นล้อที่ใส่ยางแล้ว การถอดมาวัดด้านนอกถือว่าจะได้ความถูกต้องแม่นยำกว่า และต้องรู้ขนาดความกว้างของล้อ ที่ระบุไว้ชัดเจน หรือใช้วิธีการวัด ด้วยอุปกรณ์การวัดง่ายๆ ด้วยการหาไม้ หรือวัสดุแข็งๆมาทาบกับล้อ ตลับเมตรหรือไม้บรรทัด และเครื่องคิดเลขอีกสักตัว


ตัวอย่าง
    ล้อที่เราจะนำมาสาธิตเป็นล้อขนาด 17 นิ้ว ความกว้างที่ระบุไว้ เป็นตัวเลขคือ 7.5 นิ้ว อยากรู้ว่า Offset มีค่าเท่ากับเท่าไร
วิธีวัด
1.ใช้ไม้ หรือวัสดุแข็งๆ ตัดทาบที่หน้าขอบด้านนอกของล้อ ทั้งด้านหน้าและหลัง อย่าให้สัมผัสกับหน้ายาง
2.วัดขนาดความกว้างรวมของล้อ ตั้งแต่ขอบกระทะด้านนอก จนถึงด้านใน มีหน่วยเป็นเซนติเมตร
3.วัดระยะห่างจากหน้าแปลนยึดดุมล้อ ด้านใน จนถึงกระทะขอบล้อด้านนอก
4.นำตัวเลขรวมความกว้างทั้งหมด ลบกับ ตัวเลขระหว่างหน้าแปลนยึดดุม มาลบ กับระยะขอบล้อของด้านที่จะวัด (เพราะปกติความกว้างของล้อจะไม่นับรวมกับ ความกว้างของขอบกระทะที่ยึดกับยาง ทั้ง 2 ด้าน)
สูตรคำนวณ
- กระทะขนาด 7.5 นิ้วหรือตามทฤษฏี = 18.8 เซนติเมตร ดังนั้น Offset Zero ของล้อจะ = 9.4 เซนติเมตร
- ขนาดที่วัดได้จริงจากขอบล้อด้านนอกถึงด้านใน = 20 เซนติเมตร
- เพื่อหาขนาดขอบล้อทั้ง 2 ด้านจะนำระยะวัดจริงลบกับระยะทางทฤษฏี แล้วหารสอง (20 – 18.8) / 2 = 0.6 เซนติเมตร เป็นค่าระยะขอบกระทะแต่ละด้าน
- วัดระยะจากหน้าแปลนยึดดุมล้อ ถึงขอบกระทะได้ = 14 เซนติเมตร
- คำนวณหาระยะ Offset = (ระยะวัดจากหน้าแปลนถึงขอบกระทะ) - (ระยะ Offset Zero) ( ระยะขอบกระทะ ) = 14 – 9.4 – 0.6 = 4 เซนติเมตร
***ดังนั้น ค่า Offset ของล้อวงนี้จะออกจากจุด Offset Zero ไปด้านนอก หรือ ติดบวก 4 เซนติเมตร หรือ 40 มิลิเมตร จึงเรียกได้ว่า Offset + 40 นั่นเอง

จะทำอย่างไรถ้า Offset ไม่พอดีกับรถของเรา

กรณีล้อหุบมากเกินไป (ออฟเซ็ตติดบวกมากไป) วิธีแก้ไข

1.เสริมสเปเซอร์


http://www.cefiro-thailand.com/attachment.php?attachmentid=198847&d=1302109176
    ถ้าหากระยะไม่มากซัก 1 - 2 เซนติเมตร มักจะใช้เป็นสเปเซอร์แบบอลูมิเนียมเจาะรู เสริมวางเข้าไปก่อน แล้วนำล้อมาใส่ ไขน๊อตติดให้แน่น สังเกตถ้าน็อตล้อสั้นเกินไป ต้องเปลี่ยนน็อตล้อให้ยาวขึ้นเพื่อป้องกันน็อตล้อหลุด ข้อดีคือง่าย และ ประหยัด ข้อเสียคือ เซนเตอร์ล้ออาจผิดพลาด สเปเซอร์แบบอลูมิเนียมมักเกิดอาการยุบ ล้ออาจจะเกิดอาการแกว่ง พวงมาลัยสั่น ศูนย์ล้อไม่ได้ หรือกลึงเป็นสเปเซอร์เหล็กถือว่าดีกว่า




2 . ต่ออแดปเตอร์ 

    ถ้าระยะห่างเกิน 2 เซนติเมตรขึ้นไป วิธีที่ดีคงต้องใช้ อแดปเตอร์มาไขติดกับดุมล้อของรถชั้นหนึ่งก่อน ต้องสังเกตุให้ดีว่าน็อตล้อนั้น ยื่นออกมาเกินอแดปเตอร์หรือไม่ ถ้าเกินต้องตัดน็อตให้สั้นลงเพื่อไม่ให้ไปติด หรือชนกับล้อแม็ค เหยียบเบรกไขน็อตยึดอแดปเตอร์ให้แน่นเท่ากันทุกตัวทั้ง 4 ล้อ แล้วจึงไขล้อติดกับอแดปเตอร์อีกครั้ง เลือกใช้ได้ทั้งอแดปเตอร์เหล็ก หรืออลูมิเนียมเกรดสูง หรือใช้อแดปเตอร์ที่สามารถเปลี่ยน PCD หรือระยะรูน๊อตล้อได้ในตัว การใช้อแดปเตอร์ถ้าเป็นแบบเหล็กกลึงขึ้นรูป คุณภาพต้องฝากไว้กับทางผู้ผลิต แต่ถ้าเป็นลักษณะสั่งกลึงให้มีบ่ารับดุมล้อ และล้อแม็กซ์จะช่วยให้ได้เซนเตอร์มากขึ้น แต่ถ้าอแดปเตอร์มีความหนามาก จะทำให้มีน้ำหนักมาก เป็นภาระของช่วงล่าง และเครื่องยนต์ อะแดปเตอร์แบบอลูมิเนียมเกรดสูง ถือว่าน่าเลือกใช้กว่า แต่ราคาสูง หรือถ้าราคาถูกหน่อยคงต้องเป็นมือสองจากนอก การใส่อแดปเตอร์ถ้าเป็นไปได้ เมื่อใช้งานได้สักระยะควรถอดล้อออกมา แล้วไล่อัดไขน็อตอีกครั้งหนึ่ง

ออฟเซ็ตติดลบมากไป (ล้อถ่างออกนอกซุ้มล้อ) วิธีแก้ไข

1. เจียร หรือพับขอบซุ้มล้อ


http://eastwood.squarespace.com/storage/101_1955.jpg
    เป็นวิธีแก้ไขในกรณีที่ล้อไม่ถ่างออกมามากเกินไปหรือเวลาวิ่งตรงไม่ติด แต่พอขึ้นเนิน เลี้ยว หรือบรรทุกหนักแล้วจะมีอาการติดซุ้มล้อ การพับซุ้มถือเป็นวิธีที่นิยมกันมาก แต่ต้องเป็นร้านที่มีฝีมือ เพราะถ้าสีเกิดเสียหายค่าทำสีจะแพงกว่าหลายเท่า แต่วิธีเจียรซุ้มเป็นวิธีที่ง่ายประหยัดกว่า แต่ข้อเสียคือ ซุ้มล้อจะไม่แข็งแรง ยืนพิงเบาๆก็อาจจะยุบได้ หรือถ้าไม่ป้องกันสนิม ซุ้มล้อจะผุอย่างรวดเร็ว

2. ขยายซุ้มล้อ หรือ Wide Body


http://wheel.thaispeedcar.com/image/tip3-offset/offset12.jpg
    การทำให้ซุ้มล้อกว้างขึ้น ถือเป็นวิธีที่ผู้ผลิตยังใช้กัน เป็นงานที่ต้องลงทุนทุบตัวถัง หรือตัดซุ้มล้อใหม่ให้กว้างขึ้น แล้วทำสี เป็นงานที่ลงทุนมาก แต่ก็ให้ความสวยงามมากขึ้น

3. โป่งล้อ หรือ Over Fender 



    เป็นลักษณะโป่งพลาสติก หรือไฟเบอร์เย็บติดกับซุ้มล้อ เป็นวิธีที่นิยมกันมากในหมู่รถพวก 4X4 จนถึงรถระดับแข่งขัน Circuit

4. ซื้อล้อใหม่ 

ทำไมรถแข่งทางตรงถึงใช้ ล้อออฟลึกมากๆ     พวกรถแข่งทางตรงพวกนี้มีแรงม้าสูง ยางที่ใช้ขนาด 335 – 355 นู่น ล้อก็ขนาด 10 นิ้ว – 12 นิ้ว หรือที่เรียกว่า Drag Slick ยางพวกนี้นับความกว้างที่หน้ายางกันเป็นนิ้ว เช่น 10.5 , 12.5 นิ้ว แถมเพลาท้ายของพวกรถ Drag จะสั้นกว่ามาก เน้นการส่งกำลังอย่างรวดเร็ว ลดปัญหาเพลาขาด จึงต้องใช้ล้อออฟลึก (โคตรๆ) มาใส่เพื่อให้ล้อยื่นออกมาพอดีกับตัวถังรถ

เวลาโหลดรถแล้วล้อจะไม่ติดซุ้ม ออฟเซตเปลี่ยนหรือไม่
     การโหลดรถไม่ได้เป็นการทำให้ ออฟเซตล้อเปลี่ยน แต่เป็นการทำให้มุม Camber เปลี่ยนไป ล้อจะมีการเอียงเข้าหาซุ้มล้อ บางครั้งล้อที่ออฟเซตลึก ทำให้ล้อยื่นออกมาด้านนอกซุ้มเล็กน้อย แต่พอโหลดรถ ล้อกลับเอียงหลบซุ้มได้พอดี ผลมาจากมุม Camber ที่เกิดจากองศาของปีกนกล่างนั่นเอง การเลือกล้อที่ถ่างเพื่อโหลด แล้วหลบซุ้ม ต้องคำนึงถึงช่วงล่างว่าเป็นระบบไหน ถ้าเป็น Double Wishbone มุม Camber จะเปลี่ยนค่อนข้างน้อยมาก แต่ถ้าเป็นแบบ Macpherson Sturts มุม Camber จะเปลี่ยนแปลงได้มากกว่า แต่อย่าลืมการที่ล้อเอียง จะเป็นการทำให้ยางสึกหรอไม่เท่ากัน การเกาะถนนไม่ดี ยังไงการเลือก Offset ให้พอดี พอโหลดรถแล้ว ก็ปรับมุม Camber ให้กลับมาตามเดิมถือว่าย่อมดีกว่า

    พวกรถแข่งทางตรงพวกนี้มีแรงม้าสูง ยางที่ใช้ขนาด 335 – 355 นู่น ล้อก็ขนาด 10 นิ้ว – 12 นิ้ว หรือที่เรียกว่า Drag Slick ยางพวกนี้นับความกว้างที่หน้ายางกันเป็นนิ้ว เช่น 10.5 , 12.5 นิ้ว แถมเพลาท้ายของพวกรถ Drag จะสั้นกว่ามาก เน้นการส่งกำลังอย่างรวดเร็ว ลดปัญหาเพลาขาด จึงต้องใช้ล้อออฟลึก (โคตรๆ) มาใส่เพื่อให้ล้อยื่นออกมาพอดีกับตัวถังรถ

ออฟลึก ออฟตื้น มีผลกับช่วงล่างอย่างไร
    พวกแม็กซ์ออฟลึกๆ หรือล้อถ่างออกมาด้านนอก จะมีแรงกระทำต่อลูกปืนล้อ ลูกหมาก มากกว่า (คล้ายคานกระดกที่ย้ายน้ำหนักไปอยู่ด้านปลายมากขึ้น) เป็นการบั่นทอนอายุการใช้งานของพวกช่วงล่าง แต่ให้ผลทางด้านการเกาะถนนเพิ่มขึ้น ต่างจากพวกออฟตื้นพวกนี้มีผลต่อช่วงล่างน้อยกว่า อายุการใช้งานของช่วงล่างจะยาวนานกว่า 


เลือกออฟเซต ล้อหน้า หลังต่างกัน แล้วจะเป็นอย่างไร
    พวกล้อหน้าหุบๆ ล้อหลังถ่าง ถ้าเป็นในขณะที่รถวิ่งตรงๆ ก็ยังไม่เป็นไร แต่จะมีผลตอนเข้าโค้ง มีผลทำให้มุมการเข้าโค้งไม่เท่ากัน รถอาจจะเกิดการ Under Steer หรือ Over Steer หรือเข้าโค้งได้ง่าย ออกโค้งได้ยาก ล้วนมีผลทั้งหมด ยิ่งต่างกันมาก จะมีผลมาก
จะเลือก Offset ยังไงให้พอดีกับรถ
    ก่อนที่เราจะซื้อล้อแม็กซ์งามๆมาใส่รถซักชุด ต้องแน่ใจก่อนว่า รถที่เราใช้อยู่กำหนดค่าออฟเซ็ตจากโรงงานมาเท่าไร แม้ว่าล้อเดิมจะกว้างเพียง 6 นิ้ว แต่ถ้าซื้อล้อใหม่ขนาด 7 หรือ 8 นิ้ว Offset ของล้อใหม่ ก็ควรอยู่ในตำแหน่งที่โรงงานกำหนด แต่ถ้าเราซื้อล้อที่มีขนาดเกิน 8- 9 นิ้ว ใน Offset เท่าเดิม ล้ออาจจะกว้างเกินออกมานอกซุ้ม เนื่องจากความกว้างของล้อที่เพิ่มขึ้น การขยับ Offset ก็จะเกิดขึ้น เช่นให้ Offset มีค่า บวกน้อยลง แต่ต้องไม่มากจนยางถอยเข้าไปติดกับช่วงล่าง หรือสายอ่อนเบรก รวมถึงการเปลี่ยนช่วงล่างเช่น คานหน้า ปีกนก หรือ แม้แต่คานหลังให้กับรถ พวกนี้จะทำให้การเลือก Offset เปลี่ยนแปลงไปตลอด จึงต้องมีการคำนวณหาระยะของ Offset และต้องทราบขนาดของ Offset ของล้อที่พอดีกับรถ และช่วงล่างที่เปลี่ยนมาใหม่ด้วยน่ะครับ